“พ่อของข้าวโพดเป็นใคร!” คำถามที่ดังขึ้นทำพุดกรองตัวสั่นหน้าเสีย เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจไม่คิดว่าจู่ๆเขาจะถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก “ฉันถามว่าพ่อเด็กนี่เป็นใครพุดกรอง!” ยิ่งอีกคนแน่นิ่งชาญยิ่งต้องค้นหาคำตอบให้กับตัวเองโดยเร็วที่สุด ยังไงวันนี้เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าใคร! ใครกันแน่ที่เป็นพ่อของเด็กคนนี้!
เกิดความโกลาหลยกใหญ่ขึ้นภายในไร่ธนาสินธุ์เมื่อจู่ๆ นาย ‘ดำ’ หัวหน้าคนงานเก่าแก่ก็หายตัวไปพร้อมกับเงินค่าแรงของคนงานนับร้อยชีวิต จำนวนของเงินที่หายไปนั้นมากมายมหาศาลเพียงพอที่จะทำให้เขาหนีไปตั้งตัวได้ใหม่โดยไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร จะมีก็แต่บุตรสาวที่มีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้นั่งร้องไห้เฝ้ารอการกลับมาของพ่อเพียงลำพัง
“มีคนเห็นไอ้ดำมันขึ้นรถตู้จากท่ารถไปเมื่อตอนสายไม่ผิดตัวแน่ครับคุณหญิง” หนึ่งในคนงานที่ออกตามล่าคนผิดจำต้องรีบแจ้งข่าวร้ายให้ผู้เป็นเจ้านายได้ทราบทันทีที่ลงจากรถ ทว่าสายตาของนางพิศเพลานั้นกลับไม่ได้ให้ความสนใจใครเลยนอกเสียจากเด็กน้อยตาดำๆ เนื้อตัวมอมแมมตรงหน้า ความรู้สึกเดียวที่มีต่อเด็กคนนี้คือความสงสารจับหัวใจ
“จะต้องเป็นพ่อที่เลวขนาดไหนถึงได้ทิ้งลูกแล้วหนีไปใช้ชีวิตสุขสบายคนเดียวแบบนี้ได้! สั่งคนของเราให้เลิกตามหา ในเมื่อมันกล้าที่จะทรยศบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของฉัน! ก็ปล่อยให้เวรกรรมตามสนองมันไป คนเลวๆ แบบนั้นไม่มีวันเจริญหรอก!” ทุกคนต่างเคารพในการตัดสินใจของผู้เป็นนาย แต่จะมีบางส่วนไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยให้คนผิดลอยนวล
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะขัดคำสั่ง
“แล้วจะทำยังไงกับนังเด็กนี่ดีครับคุณหญิง ให้ผมเอามันไปทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าดีไหมครับ” หนึ่งในคนงานตัดสินใจถามขึ้นเพราะเท่าที่ดูเด็กน้อยที่เอาแต่นั่งร้องไห้กอดตุ๊กตาหมีตัวเก่าไม่มีญาติที่ไหนเลยนอกจากผู้เป็นพ่อที่หนีหายไป ซ้ำร้ายยังใจดำทอดทิ้งลูกของตัวเองได้ลง
“แกเห็นฉันเป็นคนใจยักษ์ใจมารขนาดนั้นเลยรึ! หมาแมวยังเก็บมาเลี้ยงได้จนกินอิ่มนอนหลับ นับประสาอะไรกับเด็กตาดำๆ คนเดียวที่จะเลี้ยงไว้เอาบุญมันไม่ได้ นังสร้อยนังอ่อน! เดี๋ยวพวกแกพาเด็กนี่กลับบ้านใหญ่ จับมันอาบน้ำอาบท่าแล้วหาข้าวหาปลาให้กินเสีย” คุณหญิงพิศเพลาใช้เวลาคิดไม่นาน จึงตัดสินใจหันไปสั่งคนสนิทที่คอยติดตามทั้งสอง
“คุณท่านจะเลี้ยงมันเอาไว้เหรอคะ แต่นังเด็กมันเป็นลูกโจรนะคะ” เดือดร้อนนางสร้อยคนสนิทที่จำต้องถามซ้ำ ไม่นึกเห็นด้วยกับผู้เป็นนายที่จะเลี้ยงลูกโจรเอาไว้ใกล้ตัว ด้วยกลัวว่าเรื่องเลวร้าวอาจซ้ำร้อยเข้าสักวัน
“ลูกโจรแล้วมันยังไง! พ่อเลวก็ใช่ว่าลูกมันจะต้องเลวตามไปด้วยเสียเมื่อไหร่กัน ให้มันรู้กันไปสิว่าฉันจะเลี้ยงเด็กนี่ให้ดีผิดพ่อมันไม่ได้!” เจ้าของคำถามถึงกับหน้าสลดเมื่อเจอเข้ากับคำต่อว่าซึ่งๆ หน้าจากนาย
“ว่าแต่ใครรู้บ้างว่ามันชื่อแส่อะไร”
“เห็นพ่อมันชอบเรียกว่านังพุดครับคุณหญิง ชื่อจริงพุดกรองครับ” คุณหญิงพิศเพลายิ้มรับกับชื่อเด็กที่พ่อแม่เข้าใจตั้งให้ สายตาของนางอ่อนแสงลงยามจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าให้ถนัดตา เชื่อในสายตาของตนเองว่าเด็กนี่จะต้องได้ดีในภายภาคหน้า ท่านจะทำให้ทุกๆ คนได้เห็นว่าคนเราดีชั่วอยู่ที่ตัวกระทำ ไม่ได้อยู่ที่สันดานของใครอย่างที่พวกมันแอบคิดกัน
“เอาล่ะแม่พุดกรอง…จากนี้ไปเธอเป็นคนของฉัน ไปอยู่เสียด้วยกัน ฉันจะสั่งสอนให้โตขึ้นเป็นคนดี จะให้เรียนสูงเท่าที่หล่อนอยากจะเรียน” นั่นคือคำสัญญาที่เด็กน้อยทำได้เพียงยิ้มรับอย่างไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้กระทั่งว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปชีวิต ของเธอจะถึงจุดเปลี่ยนตลอดกาล
สิบเจ็ดปีต่อมา
ภาพของเจ้าของร่างบอบบางอ้อนแอ้นเจ้าของใบหน้างดงามที่กำลังวิ่งลัดผ่านทุ่งข้าวโพดสีเขียวชอุ่มมักจะเป็นภาพที่คนงานภายในไร่ธนาสินธ์ต่างได้เห็นกันจนชินตาแทบทุกวัน มันมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อหญิงสาวกลับมาจากมหาลัยด้วยรถประจำที่จะส่งเพียงแค่หน้าไร่เท่านั้น หนทางที่เหลือเกือบสี่กิโลเมตรเธอจำต้องเดินเท้าเข้าไป แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับพุดกรองแม้แต่น้อย เพราะการได้เดินกินลมชมวิวไร่ข้าวโพดยามเย็นแห่งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในความสุขเล็กๆ ในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้
“ทำข้อสอบได้ไหมเล่านังพุดวันนี้” นางแช่มหนึ่งในคนงานร้องถามเมื่อจำได้ ว่าวันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายก่อนเรียนจบมหาลัยของหญิงสาว
“ทำได้จ๊ะน้าแช่ม เดี๋ยวพุดขอตัวขึ้นไปหาคุณท่านที่เรือนใหญ่ก่อนนะจ๊ะเดี๋ยวจะกลับมาช่วยคัดข้าวโพด” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะวิ่งตรงไปยังเรือนใหญ่ สถานที่ซึ่งผู้มีพระคุณของเธอรอฟังข่าวดีอยู่ที่นั่น
คุณหญิงพิศเพลา นายใหญ่ของที่นี่คือคนที่เธอกำลังกล่าวถึง ท่านไม่เพียงแต่มีพระคุณกับเธอเท่านั้น ยังให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่พักพึง และที่มากกว่าอะไรทั้งหมดนั้นคือการส่งเสียเธอให้ได้เรียนมานับตั้งแต่จำความได้ เธอรู้เรื่องราวในชีวิตของตัวเองผ่านจากปากของคนงานคนอื่นๆ และเรื่องเดียวที่ทำให้รู้สึกแย่คือเรื่องของบิดาที่ทำเรื่องไม่ดีไว้ก่อนจะหนีหาย และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีใครได้ข่าวจากท่านเลย แม้แต่เธอเอง
ชีวิตของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ตอนนั้นมีอายุเพียงสี่ขวบถูกชุบเลี้ยงขึ้นมาใหม่ด้วยความรัก ความเมตตาของคุณหญิงพิศเพลาและคุณประนอมลูกสะใภ้ที่เพิ่งจะเสียไปเพราะโรคร้าย ไม่เคยมีเลยสักวันที่เธอจะหลงลืมประคุณของทั้งสองท่าน และวันนี้วันที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา ซ้ำยังสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดันหนึ่งมาครองได้สมใจ คนแรกที่ได้บอกก็คือคุณท่าน ผู้ซึ่งคาดหวังในตัวของเธอเอาไว้มาก และเธอก็เคยไม่ทำให้ท่านผิดหวังสักครั้ง ทำทุกๆ อย่างตามที่ท่านได้สอนสั่งมาตลอดหลายสิบปี
“คุณท่านคะ” น้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยดีใจของคนที่รออยู่ทำให้คุณหญิงพิศเพลายิ้มเมื่อได้เห็นก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่ต้องการจะรู้ออกมา
“ยังไงเล่าแม่คนนี้ เดินปกติเหมือนชาวบ้านเขาไม่เป็นรึถึงได้วิ่งเหงื่อท่วมหน้ามาแบบนี้” แม้คำพูดของหญิงชราจะเหมือนตำหนิแต่พุดกรองก็รู้ได้ว่าท่านไม่ได้คิดจริงจังกับท่าทีเป็นม้าดีดกะโหลกของเธอเท่าไหร่
“พุดทำได้แล้วค่ะ พุดเรียนจบแล้ว แถมยังได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยค่ะ” พุดกรองเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ ซึ่งอีกคนก็ยิ้มร่วมด้วยเมื่อได้รู้ข่าวดีของคนในปกครอง ไม่ได้แปลกใจเสียทีเดียวที่พุดกรองจะทำได้เพราะนางเลี้ยงมาเองกับมือมีหรือที่จะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ใฝ่ดีแค่ไหน ไม่ว่างานบ้านงานเรือนรึก็เป็นหมด ใครได้ไปเป็นเมียคงสุขสบาย
“เก่งสมกับที่ฉันคาดหวังเอาไว้จริงๆ ฉันดีใจด้วยนะแม่พุด แล้วนี่คิดไว้หรือยังว่าเรียนจบหล่อนอยากจะทำอะไรต่อ” อนาคตของใครก็ย่อมมีความสำคัญทั้งนั้น นางเชื่อว่าเด็กคนนี้จะไปได้ไกลไม่ว่าจะเลือกทางไหน
“พุดอยากช่วยงานในไร่ค่ะ” พุดกรองตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เธอรักที่นี่ อยากใช้ความรู้ความสามารถที่สู้อุตส่าห์เรียนมาทำประโยชน์ให้ผู้มีพระคุณไม่มากก็น้อย ส่วนเรื่องอื่นแทบไม่เคยคิดถึงเพราะถือคติว่าเธอเกิดและเติบโตที่นี่ ที่นี่จึงไม่ต่างอะไรจากบ้านของเธอ
“พี่นุยังรักลินอยู่ไหม...” คำถามที่ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าเธอจะต้องเป็นคนถามมันกับเขาดังขึ้น มันคือคำถามที่เธอไม่เคยอยากได้คำตอบ เพราะกลัวว่าถ้ามันเกิดไม่ตรงใจขึ้นมาเธอคงเจ็บปวดเจียนตายน่าดู แต่เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว ทนอยู่กับความรู้สึกบ้าๆ พวกนี้ไม่ไหวแล้ว “ลิน ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่ก่อน…” ปรเมศวร์เองก็เริ่มได้สติหลังจากได้เห็นแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความปวดร้าวของอีกคนเข้า มันทำให้เขาคิดได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้นเหตุมันมาจากตรงไหน และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง เขาเองที่ผิด ผิดที่พาช่อลดามาที่นี่
“เทียนไม่หวังสูงขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่พูดเพราะเป็นห่วงเท่านั้น” พลอยบุหลันตอบเสียงแผ่วก่อนจะพาตัวเองเดินหนีกลับมาที่ห้อง เพราะไม่อยากอยู่ให้เกะกะสายตา หรือสร้างความรำคาญให้กับเขาอีก หญิงสาวนั่งลงบนเตียงก่อนจะเริ่มต้นสวดมนต์เหมือนทุกคืน ไม่นานก็ทิ้งตัวลงนอน และไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ “ฝันดีนะคะตัวเล็กของแม่…”
“ลูกศัตรูอย่างเธอที่โซฟานี่ก็พอมั้ง! เพราะว่าเตียงนั่นฉันเก็บเอาไว้ให้ เมีย ในอนาคตของฉัน!” เขาเน้นย้ำถึงคำว่า เมีย อย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะโยนคนที่เอาแต่นิ่งเงียบลงโซฟาอย่างไม่ออมมือนัก “โอ้ย! บุญเจ็บค่ะ…”
“กล้าดียังไงเที่ยวไปให้ท่าไอ้สารวัตรนั่น!” ชรัสตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่หล่อนทำลงไปในวันนี้มันหักหน้าเขาเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบให้เธอทำเรื่องพวกนี้ขณะที่ยังเป็นเมียเขาอยู่! “อินทำอย่างนั้นตอนไหนอย่างนั้นเหรอคะ”
“ทะ…ทำไมคุณไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยล่ะคะ” คนได้ยินไม่ได้นึกตำหนิอะไรคนช่างถาม เขายิ้มก่อนจะเอ่ยตอบไปตามความจริง “จะต้องใส่ให้เสียเวลาทำไมล่ะครับ เพราะอีกเดี๋ยว…ก็ต้องถอดออกอยู่ดี” คำตอบที่มาพร้อมจูบหนักๆ ที่แก้มขวาทำเอาคนที่ยังเตรียมใจรับกับสิ่งเหล่านี้ไม่ไหว ย่นคอหลบหนีความซาบซ่านพัลวัน “คะ…คุณลูซคะ คะ…ว่าภัส…”
“ฉันตั้งใจจะบอกเรื่องลูกในวันที่แกวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกฉันว่าคุณป่านตอบตกลงจะแต่งงานกับแก!” ความจริงที่ได้รู้กลับกลายเป็นธเนศเสียเองที่พูดอะไรไม่ออก เขายังจำภาพของเอื้องทรายที่กอดเขาร้องไห้ปานจะขาดใจในวันนั้นที่ว่าได้ดี แต่เพราะมัวหลงดีใจมากไปเลยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเธอไม่ได้ร้องไห้เพราะดีใจที่เขาสมหวังกับอดีตคนรัก แต่มันคือความเสียใจ...ความเสียใจที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้ที่ต้องมารับฟังมันจากปากของเธอเอง ความโกรธก่อนหน้าค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความเสียใจในที่สุด
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที