เจ้าบ่าวหลุดจองเป็นเรื่องของคุณกระทิงกับหมี่ที่ต้องตกกระไดพลอยโจนเป็นคู่บ่าวสาวกัน เหตุผลก็เพราะเงินตัวเดียว มาตามอ่านกันค่ะ ว่าการแต่งงานปลอมๆ จะนำรักแท้มาสู่ทั้งสองหรือไม่ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ มัญชุพรเลือกชุดไทยศิวาลัยสีงาช้าง ต่อมาคือชุดเจ้าสาว เว็ดดิ้งแพลนเนอร์แนะนำชุดแบบเรียบหรู ทิ้งชายหางปลานิด ๆ ไม่ฟูฟ่องมาก หญิงสาวใส่แล้วอึดอัดที่อกนิดหน่อย คิดว่าน่าจะพอดีกับอกน้องสาว “ลองเดินดูนะคะ” เธอถูกจูงมาจนถึงห้องโถง พงศพัศในชุดสูทยืนอยู่ตรงนั้น แม้เสื้อผ้าเรียบโก้ แต่ไม่อาจกลบความดุดันของเขาลงได้ มัญชุพรเห็นแล้วคิดว่าเขาเป็นเจ้าบ่าวที่ ‘แนว’ ใช้ได้ “มีชุดที่โชว์อกน้อยกว่านี้ไหม เห็นนมเจ้าสาวตั้งขนาดนี้ เดี๋ยวฉันใจแตก ไม่ได้เข้าหอกันพอดี” พงศพัศมีความสามารถพิเศษเรื่องปากเสียหรืออย่างไร เขาว่าจนทำหน้ามัญชุพรซับสีเลือด “เดี๋ยวแก้ตรงอกให้นะคะ” “เอาแบบคลุมยาวถึงคอหอยไปเลย” เขาเพิ่งรู้สึกสนุกก็ตอนนี้ เมื่อเห็นเธอตอบโต้อะไรไม่ได้ หนุ่มชาวไร่ค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย “ฉันเอาแบบนี้แหละค่ะ” ชักเข้าใจความรู้สึกอยากหนีของพรสรวงแล้ว นายตัวโตคนนี้ไม่เหมาะกับการเป็นเจ้าบ่าวใครเลย นอกจากหน้าดุแล้วยังไร้มารยาท “เปลี่ยนซะ ฉันไม่ชอบ” พงศพัศเห็นเธอเงียบหงิม ไม่คิดว่าจะแผลงฤทธิ์ได้ “เอาตัวนี้เลยค่ะ” “น้องสาวเธอเป็นคนใส่ในงานแต่งนะ ไม่ใช่เธอ เจ้าบ่าวอย่างฉันต้องออกความเห็นได้สิ” มัญชุพรสบตาคมดุ “มุกให้สิทธิ์ขาดฉันเลือกแทนแล้ว ชุดไหนที่ฉันชอบ น้องก็ต้องชอบด้วย ถ้าคุณไม่ชอบก็อย่ามองสิคะ” +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“มุกไม่แต่งค่ะ”
พรสรวงแทบจะดิ้นร่า ๆ มือกำแน่น ตามองมารดาแบบจริงจัง ตอกย้ำเรื่องที่เจ้าตัวไม่ต้องการ
“ม๊าไปตกลงลับหลังได้ไง มุกไม่ยอมนะ”
พร้อมทำท่าผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้หลุยส์ มัญชุพรผู้พี่ต้องรีบดึงมือไว้
“แต่งงานกับหลานชายคุณยายบัวแก้วไม่ดีตรงไหนฮึ”
นางพิสมัยรินชาลงถ้วย หนึ่งยื่นให้สามี สองให้ตัวเอง
“นายกระทิงคนนี้มีดีกว่านายเจมส์ลูกสส.นั่นอีก วันดีคืนดีไม่รู้พ่อเขาจะโดนไข้โป้งวันไหน หมดบารมีพ่อแล้วก็ไม่เหลืออะไร”
“ม๊าไม่เข้าใจอะไรเลย เจมส์เขากำลังทำบริษัทของตัวเอง ไม่พึ่งบารมีพ่อ”
เพราะเขาเป็นคนเช่นนี้อย่างไรเล่า พรสรวงจึงรัก เขาทำทำตัวเป็นโล้เป็นพายกว่าลูกนักการเมืองคนอื่น
“จะเชื่อได้ยังไง คนไม่เคยลำบาก คาบช้อนเงินช้อนท้องมาเกิด บริษัทนั่นไม่ใช่เปิดเพื่อผลาญเงินพ่อเขาเล่นรึ”
นางพิสมัยไม่ใช่พวกตื่นคนรวย หากมองการณ์ไกลกว่านั้น นางมองที่มาของความรวย มองต้นตระกูลซึ่งเหมือนดังรากลึก บ่งบอกการสั่งสอนอบรม อันจะเป็นพื้นฐานนิสัยของคน ลูกนักการเมืองที่เพิ่งรวย นางจึงไม่ชอบ
“ม๊า...”
ห้ามไม่ทันเสียแล้ว ร่างน้องสาวผุดลุกขึ้น
“อย่างน้อยมุกก็ควรมีสิทธิ์จะตัดสินใจสิว่าควรจะแต่งงานกับใคร”
สมาชิกครอบครัวที่นั่งในห้องรับแขกเหล่มองไปที่บิดา
“เตี่ย มุกไม่ยอมนะคะ”
พรสรวงอาศัยความเป็นลูกคนเล็กและเป็นคนโปรดออดอ้อนท่าน
“ลองคบหากันดูก่อนก็ได้ ถ้าไม่โอเคค่อยว่ากัน”
เสี่ยจิวพยายามช่วย แต่พอสบกับสายตาพิฆาตของภรรยา ก็ต้องรีบแกล้งจิบชาหลบ
“ความจริงนายกระทิงก็ไม่เลวนะ ดาร์ค ทอล แอนด์แฮนซัม เสียอย่างเดียวหนวดเครารุงรังไปหน่อย”
จิรัฎฐ์ผู้พี่ หยิบขนมเปี๊ยะเข้าปาก เขาเป็นหนุ่มอวบอ้วนที่รู้สึกว่ากระเพาะตนเองว่างเสมอ จนพรสรวงชอบล้อเขาเล่นว่าเป็น...เฮียเล้งซาลาเปา
“ถ้าแต่งแล้วมุกจะได้เป็นคุณนายไร่ดาวเรืองไง”
“มุกไม่อยากเป็นคุณนาย เฮียแต่งเองเลยไหมล่ะ บางทีไร่นั้นอาจเลี้ยงวัวพันธุ์ดี มีวัวโคขุนให้กินเป็นสเต๊ก”
ชายหนุ่มขำมากกว่ากับคำเหน็บแนมนั้น
“ยังไงก็ตาม ถึงไม่ได้แต่งกับเจมส์ มุกก็จะไม่แต่งกับนายกระทิงนั่นเด็ดขาด”
น้องสาวเดินลงส้นเท้าตึง ๆ ขึ้นบันได ...อันเป็นเรื่องที่ทุกคนในบ้านคาดไว้อยู่แล้ว พรสรวงน่ารักเวลาอารมณ์ดี ด้วยผิวขาวเนียน ผมดำขลับ ปากนิด จมูกหน่อยแบบลูกครึ่งไทยจีน เธอจึงเหมือนนางฟ้าของบ้าน แต่หาพิโรธขึ้นมาเมื่อไร ก็กลับเป็นคนเอาแต่ใจอย่างเหลือเชื่อ
“หมี่ไปดูมุกที”
นางพิสมัยเรียกลูกสาวอีกคน
“หาทางกล่อมให้มุกยอมแต่งงานด้วย”
“โธ่! น้าไหม อย่าไปบังคับมุกเลย เขาไม่อยากแต่งก็ปล่อยไป”
จิรัฎฐ์ไม่ได้เห็นใจพรสรวงด้วยใจจริง เพราะทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน คนที่เขาอยากจะช่วยคือมัญชุพร เธอเป็นเบี้ยล่างให้แม่กับน้องสาวเสมอ
“น้าพยายามหาคนที่ดี เหมาะสมกับมุกที่สุดนะเล้ง”
นางพิสมัยไม่อาจใช้คำว่าแม่กับจิรัฎฐ์ได้ เพราะเป็นเพียงแม่เลี้ยง มัญชุพรก็เป็นลูกติด มีแต่พรสรวงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นลูกสาวนางกับจิว
“อาหมี่ไปดูน้องหน่อยไป”
บิดาเลี้ยงก็พลอยเห็นด้วยกับมารดาบอกตั้งแต่แรก มัญชุพรจึงตามน้องขึ้นไปบนห้อง เคาะจังหวะหนึ่งสอง...หนึ่ง...สองสาม เป็นอันรู้กันระหว่างน้องกับพี่สาว มัญชุพรเปิดเข้าไปก็เห็นเจ้าของห้องนั่งกดมือถืออยู่บนเตียง สักพักก็โยนลงไว้ทั้งอย่างนั้น ตัวล้มลงนอน
“เราไปหาทำบุญกันไหมพี่หมี่ มุกรู้สึกว่าพักนี้ตัวเองดวงตก”
เธอนั่งบนเตียงข้างน้อง หยิบมือถือที่ยังแสดงเมนูสุดท้ายที่เจ้าของเครื่องใช้ คือเบอร์โทรออกในชื่อของเจมส์ แต่ไม่มีคนรับสาย
“งานก็แย่ โปรเจ็คโดนรีเจ็คให้แก้ยับ ม๊ายังมาหาเหาใส่หัวให้อีก”
พรสรวงหลับตา ปากยังบ่น
“มุกอยากมีชีวิตเรียบ ๆ เงียบ ๆ เหมือนพี่หมี่จัง”
มัญชุพรเอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องพลางอมยิ้ม หากเลือกได้ เธอก็อยากมีชีวิตอิสระเฉกเช่นน้องสาวเหมือนกัน หลังเรียนมหาวิทยาลัยเปิดจบมัญชุพรมีชีวิตอยู่แค่บ้านแล้วก็ร้าน หน้าที่คือทำบัญชีกับช่วยขายของนิด ๆ หน่อย ๆ เคยขอมารดาเหมือนกันว่าอยากไปทำงานข้างนอก แต่กลับได้รับคำตอบ
“จะไปเป็นลูกจ้างเขาทำไม กิจการเราก็มี ถ้าเบื่อก็มาดูแลแม่ ดูแลเตี่ย”
เธอรู้ว่าแม่รักและเสี่ยจิวก็เอ็นดู แต่มัญชุพรอยากมีอิสระเล็ก ๆ บ้าง ออกไปเห็นโลกกว้างที่มากกว่าอาณาเขตที่แม่จะมาบงการ แต่ดูเหมือนวันนั้นจะไม่มาถึงเสียที
“ชีวิตทุกคนก็ต่างมีปัญหาทั้งนั้นแหละ”
“พูดเหมือนแม่ชีปลงโลกแล้ว”
คนนอนปล่อยเสียงฮึก่อนเอ่ย
“เรียกว่ามองโลกตามความเป็นจริงมากกว่า”
ชีวิตไม่อิสระ ใช่ว่าจะไม่มีความสุข มัญชุพรจึงเลือกคิดในแง่ดี หาอะไรทำที่เป็นประโยชน์ ให้พ้นเสียจากความฟุ้งซ่าน
“ยังไงมุกก็ไม่แต่งกับนายกระทิงเด็ดขาด”
คนชื่อน่ากลัว ทำงานอาบเหงื่อไคลกลางไร่ พรสรวงไม่ใช่ดูถูกคน แต่เธอไม่ชอบแบบนี้ ชอบคนแต่งตัวดี สวมเชิ้ตสีขาวสะอาด ๆ หรือสวมเสื้อยืดกางเกงยีนแบบไม่มอซอ
“เราเคยเห็นเขาแล้วเหรอ นายกระทิงคนนี้”
“แล้วพี่หมี่ล่ะ เคยเจอเขาไหม”
น้องสาวพลิกตัวเป็นนอนหงาย หรี่ตามองอีกฝ่าย
“เขาทำไร่ ต้องเคยมาซื้อของที่ร้านเราสิ”
บ้านเสี่ยจิวเป็นร้านขายเครื่องมือการเกษตรและเมล็ดพันธุ์พืชใหญ่ที่สุดในอำเภอ คนทำไร่ล้วนมาหาเครื่องมือทำมาหากินที่นี่ทั้งนั้น
“ก็...เคยเห็นอยู่นะ”
แบบแว็บ...แว็บ เขาตัวสูงอย่างที่จิรัฎฐ์ว่า ดาร์คไหม ก็น่าจะ เคยเห็นผิวเขาที่โผล่พ้นแขนเสื้อที่เจ้าตัวพบไว้ เป็นสีแทน ส่วนแฮนด์ซัม มัญชุพรไม่รู้ เพราะเขาไว้หนวด เคยเผลอสบตากันครั้งหนึ่ง จำได้ว่าดูดุน่าดู
“เขาเป็นเหมือนเฮียเล้งบอกไหม”
“ก็มีส่วน แต่การที่จะรู้ว่าใครเป็นคนยังไง เราควรต้องไปเจอตัวจริงของเขาเอง”
“โธ่...พี่หมี่ ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์เลย”
น้องปากยู่
“มุกจะเอาข้อมูลไปทำอะไร”
“ก็ในเมื่อเขาอยากแต่งงานก็แสดงว่ากำลังหาเมียอยู่นะสิ มุกเก๊าะ...จะหาคนที่แมชท์กับเขา”
คนเศร้าอยู่ไม่นานเริ่มวางแผน
“ตัวเองพูดอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่าไม่อยากโดนบังคับ แล้วนี่จะยังไม่จับคู่ให้เขาอีก”
“มุกแค่ให้สิ่งที่เขาต้องการเอง แบบที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
“เธอนี่ชักสมเป็นว่าที่สะใภ้นักการเมืองขึ้นมาทุกที”
พรสรวงหัวเราะคิกจนเห็นเขี้ยวเสน่ห์
“เขาต้องมีสเปคบ้างแหละน่า นายกระทิงคนนี้”
สมองเจ้าโปรเจ็คกำลังทำงานเต็มที่ หาทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง
“บางทีเขาอาจจะเป็นเหมือนมุก ที่ไม่ชอบการจับแต่งงานแบบคลุมถุงชนแบบนี้ น่าจะคุยกันได้” มัญชุพรถึงกับพยักหน้าตาม สมองคิดว่าหากเป็นน้องสาว บางทีอาจจะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้
“พี่หมี่ต้องคอยช่วยมุกนะ”
น้องลุกขึ้นจับแขน ส่งสายตาอ้อนปิ๊ง ๆ อันเป็นกิริยาประจำที่เจ้าตัวอยากได้อะไรจากใครก็มักใช้ไม้นี้
“จะช่วยเท่าที่ทำได้นะ”
เธอกลอกตาแบบขัดลำบากเสียเหลือเกิน
“มุกจะหาทางทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ได้แต่งงานกับนายกระทิงนั่น”
พรสรวงส่งกำหมัด สูดลมหายใจอย่างมุ่งมั่น โดยไม่รู้เลยว่าอีกฟากหนึ่งในไร่ดาวเรือง ชายหนุ่มอีกคนก็คิดจะเลี่ยงการแต่งงานครั้งนี้เหมือนกัน
“ยายก็แก่แล้ว คงจะอยู่ได้ไม่นาน”
พงศพัศเพิ่งกลับมาจากในไร่มาเหนื่อย ๆ เขายังต้องมานั่งฟังเรื่องกวนใจ
“อยากเห็นทิงเป็นฝั่งเป็นฝา”
มีไม่กี่คนในโลกที่กล้าเรียกชื่อเล่นเขาสั้น ๆ แบบนี้
“ลูกสาวคนเล็กของพิสมัยกับเสี่ยจิวเป็นคนน่ารัก เรียนจบตั้งปริญญาโทการตลาด เพียบพร้อมขนาดนี้ ต้องอยู่กับทิงได้ ช่วยกับบริหารไร่ดาวเรืองให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป”
ยายบัวแก้วนอนบ่นตั่ง พูดเหมือนเพ้อ มีสุนีย์คนสนิทคอยพัดวี
“ยายอยากเห็นทิงมีครอบครัวก่อนตาย”
มีการไอประกอบ พงศพัศจำได้ว่าเมื่อวานท่านยังนั่งเล่นไพ่กับพวกแม่ครัวอยู่เลย
“ไม่แต่งนะครับ ถ้าอยากได้เมีย ผมจะหาเอง” เสียงห้าวกับตาดุ ๆ อาจทำให้คนเกรงกลัว แต่มิใช่กับสองหญิงที่เลี้ยงเจ้าตัวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
“แล้วไหนละคะ คนที่คุณกระทิงอยากเอาเป็นเมีย”
สุนีย์ลูกคู่ยายบัวแก้วเริ่มทำงาน
“อย่าบอกนะคะว่าจะเอาอีตัวมาเป็นเมีย แม่มน ๆ อะไรนั่นหรือเปล่า ได้ข่าวว่าเข้าเมืองทีไรก็ไปกินกันทุกที”
สาววัยห้าสิบกว่าค้อน ชายหนุ่มกอดอก นึกอยากเตะคนที่เอาเรื่องส่วนตัวเขามาเม้าท์
“ผมก็เลือกน่า สะใภ้ยายต้องเป็นคนดีที่สุด คือตอนนี้ยังหาไม่เจอก็เท่านั้นเอง”
เจ้านายกับลูกน้องสบตากัน...ผิดจากที่คิดไว้เสียที่ไหน คาดว่าเขาต้องปฏิเสธแน่ ต้องดำเนินการแผนต่อไป
“ลองไปพบหนูมุกหน่อยเถอะค่ะ ผู้ใหญ่คุยกันไว้แล้ว อย่าให้เสียหน้าเลย”
สุนีย์เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงอ่อนลง ชายหนุ่มเม้มปากอึดอัด
“ยายไปรับปาก จัดการกันเอง ทำไมมาลำบากที่ผมล่ะ งานในไร่ยิ่งยุ่งอยู่”
“เพราะงานในไร่ยุ่งอย่างนี้ไงคะ คุณกระทิงถึงต้องรีบมีเมียมาช่วยจัดการ”
ลูกคู่ได้ทีรีบเสริม แล้วก็ได้รับตาดุ ๆ จ้องตอบกลับมาแทน
“ยายแค่หวังดีกับหลาน”
คนป่วยไม่จริงแกล้งทำเสียงเครือ
“อยากให้ทิงได้ชีวิตที่ดีที่สุด วิญญาณทองโปรยกับดาวเรือง เวลามองจากฟ้าจะได้เป็นสุข”
ยายบัวแก้วตาลอยมองเพดานประกอบอาการ
“พ่อกับแม่ผมตายเป็นยี่สิบปีแล้วครับยาย ป่านนี้ไปเกิดแล้วมั้ง”
“คุณกระทิงอย่าขัดผู้ใหญ่สิคะ ท่านอาจสะเทือนใจ”
มีเสียงสะอื้นฮักจากผู้เป็นยาย
“...เห็นไหม บาปนะคะทำคนแก่ร้องไห้”
สุนีย์เอ็ดเขา เหมือนยังเป็นเด็กชายอายุสิบขวบ
“ยังไงก็ตาม ผมไม่แต่งงานนะครับ บอกไว้เลย มีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหม ผมไปพักแล้ว เหนื่อยมาทั้งวัน”
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากห้องนั่งเล่น เดินอาด ๆ ขึ้นบันไดไป
“ไม่ได้ผล คุณกระทิงนี่ดื้อจริง ๆ ค่ะคุณยาย”
คนในห้องนั่งเล่นรอจนกว่าเสียงฝีเท้าหนัก ๆ จะหายไป แล้วค่อยคลายอาการ กลับมาเป็นปรกติ
“ก็ดื้อสมกับชื่อมันนั่นแหละหลานคนนี้”
ยายบัวแก้วลุกขึ้นเหยียดแข้งเหยียดขาหลังจากนอนเมื่อยแกล้งป่วยอยู่เป็นนานสองนาน
“ฝั่งโน้นคงเป็นเหมือนกัน”
ผู้อาวุโสแห่งไร่ดาวเรืองหมายถึงบ้านนางพิสมัย
“ยังเหลืออีกแผนค่ะ กลเม็ดเด็ดพรายก้นไห”
บ่าวคนสนิทจีบปากจีบคอ
“รับรองแผนนี้เด็ด แต่เสี่ยงให้ใจหวิว”
“ว่ามาสิ”
สุนีย์เล่าให้นายฟังพร้อมอาการตาโต เอามือทาบอก
“ฉันต้องเสี่ยงถึงขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย”
“อยากได้สะใภ้ก็ต้องเทหมดหน้าตักค่ะ”
ยายบัวแก้วในอกหวิว รู้สึกจะเป็นลมขึ้นมาทันที ภาวนาให้ลูกสาวและลูกเขยที่ตายไป ดลบันดาลให้แผนนี้สำเร็จไปด้วยดีเถิด
ตั้งแต่ฉันได้กุหลาบสีม่วงมาอย่างบังเอิญ ฉันก็เริ่มฝันถึง อัศวินชุดดำ แม่มดในกระท่อม แมวดำ ความตายสีเพลิง ...และดวงตาสีฟ้าปริศนาที่ทำใจเต้นแรงคู่นั้น ++++++++++++++++++++++++ เราสบตากัน ดวงดาวสีฟ้าที่ฉันเคยใฝ่ฝัน ดวงดาวที่ฉันอยากเอื้อมให้ถึง "เจ้าเป็นเพื่อนที่ข้าไว้ใจที่สุด" เขาโกหกฉัน เหมือนที่ฉันก็โกหกเขา ตลอดมาฉันไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเพียงเพื่อน ผู้คุมปลดโซ่ ทหารเข้ามาล้อมรอบตัวฉัน ผลักขึ้นสู่บันได ที่มีอีกคนยืนอยู่พร้อมขดเชือกหนา ร้อยรัดมัดร่างกายฉันไว้อย่างแน่นหนา ชายอ้วนเตี้ยพล่ามอะไรอีกแล้ว ฉันไม่ได้ยินเพราะเสียงร้องไห้ระงมของหลายคนบนเสาต้นข้าง ๆ บ้างก็ก่นด่า บ้างตะโกนบอกตนไม่ผิด ดวงดาวสีฟ้ายังส่องแสง ขณะในตาฉันกำลังเลือนรางด้วยน้ำสีแดง กลุ่มเส้นไหมสีทองซบลงที่ไหล่เขา ทันใดนั้นดวงดาวสีฟ้าก็กะพริบ หลุบมองเธอในชุดขาว "ประหารแม่มด" ท่านอาจารย์ที่รับเลี้ยงฉันเคยพูดไว้ หากแผลใดทำเราเจ็บมาก ถึงที่สุดแล้วมันจะชา กระทั่งไม่รู้สึกอะไรอีก "ไม่มีแผลใดที่ไม่มีวันหาย" ฉันยิ้ม นึกเยาะเย้ย อาจารย์โกหกเสียแล้ว ตอนนี้ฉันเจ็บมาก เจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมยังไม่ชาอีกล่ะ +++++++++++++++++++++++++ ขอให้อ่านสนุก เฌอเลียร์
ชารีญา เปรียบเสมือนเจ้าสาวที่กลัวฝน เธอหนีงานแต่งมาด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ทว่าเมื่อหลบซ่อนอยู่ในโรงแรมเธอกลับได้มาพบกับเขา มาเฟียร้ายจอมไร้อารมณ์ เดเมียน จัสติน วินด์ทรอฟ ไม่มีอารมณ์ใครและปรารถนาต่อผู้หญิงคนไหนมาก่อน กระทั่งได้มาพบเธอ ผู้หญิงที่มีดวงตาที่เป็นประกายและช่วยปลุกไฟสวาทของเขาให้ตื่นขึ้นมา ค่ำคืนพลาดพลั้งของทั้งคู่ก่อเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อวันใหม่มาเยือน เธอคนนั้นก็หนีจากไป จนทำให้เขาต้องใช้ทุกวิธีเพื่อตามเธอกลับมา เขายอมกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ มากด้วยแผนการ ยินยอมเป็นมาเฟียที่ชั่วร้ายในสายตาของเธอคนนั้น เพียงเพื่อกักขังเธอไว้ให้อยู่เคียงข้างเขาตลอดไป สถานที่ที่เธอคนนั้นละอยู่ได้บนโลกใบนี้มีเพียงข้างกายเขาเท่านั้น!
วัชรมัยเคยทิ้งไผท ทิ้งลูก แล้ววันนี้กลับมาร้องขอความเป็นแม่อีกครั้ง ไผทจะไม่มีวันให้อภัย! ++++++++++++++++++++++++++ “ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ ถ้าเธอจะเคยนอนกับผู้ชายคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่ตอนอยู่กับฉัน” ขายาว ๆ ย่างสุขุมเข้ามา หญิงสาวทำตัวลีบเล็ก กระทั่งหลังติดแนบหัวเตียง “ฉันไม่ใช้ผู้หญิงร่วมกับใคร!” “พี่ป้อ...” เอ่ยยังไม่ทันจบ ริมฝีปากซีดก็ถูกประกบด้วยอวัยวะชนิดเดี๋ยวกัน “อื้อ...” ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน มีแต่การบังคับดุดัน ไผทดูดดึงริมฝีปากบางจนฮ้อเลือด “เห็นเธอป่วย ว่าจะใจดีให้พักเสียหน่อย แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ถอดเสื้อผ้าออก ฉันจะเช็คของ!” เมื่อจุมพิตอย่างไม่เต็มใจจบลง เสียงทุ้มต่ำดังแหวกเสียงหรีดเรไรข้างนอก ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวเหน็บชวนขนลุก ไผทแสยะยิ้มร้ายกาจให้คนบนเตียง “ทำสิ ไม่งั้นก็ไสหัวไปออกจากบ้านฉัน ออกไปจากชีวิตลูก” วัชรมัยกลืนทุกความรู้สึกกลับไปในอก มือสั่นถอดเสื้อผ้าออก “จะได้อยู่กับลูก...จะได้อยู่กับปราบ” เสียงในสมองดังก้องสะกดจิตตนเอง เพื่อได้อยู่กับลูก ต่อให้ต้องลงนรกขุมไหนเธอก็จะทน! +++++++++++++++++++++++++++++
ภริยา(ไม่รัก)ของมาเฟีย +++++++++++++++++ “ถ้าฉันไม่มีลูก คุณก็จะไม่มาที่นี่ใช่ไหม” ในใจส่วนลึกคาดหวังคำตอบว่า...ไม่ใช่ เลโอนาร์ดเบนสายตามองเธอนิ่ง “คงจะอย่างนั้นแหละ” ประไพสุดาเม้มริมฝีปากแน่น กายสั่นเทิ้ม “เลโอนาร์ด เบลุซซี่ คุณออกไปจากที่นี่ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก เด็กในท้องนี่เป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ถ้าอยากได้แกก็ฆ่าฉันเสียเถอะ” ดวงตาดำสนิทลุกวาว มองอดีตสามีดังจะสาปส่งให้สลายเป็นจุณ “ฉันเกลียดคุณ!” +++++++++++++
อย่าเข้ามาค่ะ! ความรัก ++++++++++++++++++ เมื่อคนอกหักมาวันไนต์แสตนด์กัน จากที่คิดว่าแค่วันไนต์ กลายเป็นมีภาคสอง หัวใจที่บอบซ้ำสองดวง จะเปลี่ยนไปอย่าไร ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเข็ดกับความรัก ++++++++++++++++++++ "ลูกพี่ลูกน้องของคุณทำว่าที่สาวเจ้าของคุณท้องอย่างนั้นหรือคะ" สีหน้าของฤดีรัตน์ตกใจมาก ๆ เจ็บหัวใจแทนเขาเลย "ครับผม แต่ยังดีที่ยังไม่ได้ร่อนการ์ดเชิญ มันโคตรรู้สึกแย่เลยนะ สามเดือนมาแล้วนะ ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้นเลย รู้สึกเจ็บอยู่ข้างในเนี่ย" "ฉันเข้าใจคุณเลยค่ะ เพราะของฉันมากกว่าสามเดือน" "แล้วผมจะเป็นอย่างคุณไหม" "ไม่มั้งคะ เพราะคุณดูมีสติมากกว่าฉันเสียอีกค่ะ แค่หาคนใหม่" ชนิษฐากรอกหูเธอทุกวันเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ แต่เอาคำปรึกษาของเพื่อนมาบอกเขา "หาคนใหม่ยังไง" คิ้วเรียวเลิกขึ้น "หนามยอกให้เอาหนามบ่งยังไงล่ะคะ" ฤดีรัตน์ทำเป็นยกมือป้องปากกระซิบ "ไม่เข้าใจครับ" "คุณก็แค่หาผู้หญิงคนใหม่ ไม่จำเป็นต้องคบก็ได้ค่ะ แค่มาคั่นกลางให้เรารู้สึกดีขึ้น" เธอยักไหล่ แสร้งทำเป็นช่ำชองเรื่องการหาคนใหม่มาดามใจ "แล้วทำไมคุณไม่ทำ" "ก็ฉันยังไม่ได้เจอคนที่ชอบนี่คะ อย่างน้อยก็ต้องชอบก่อน" "ถ้างั้นทฤษฎีนี้ก็ไม่ได้ผลนะ ที่จริงไม่ต้องชอบกันก็ได้มั้ง แค่รู้สึกไม่รังเกียจก็พอ" เขายกเบียร์ขึ้นจิบ ฉุนนิด ๆ ที่ต้องมาฟังทฤษฎีเพ้อเจ้อ "คุณรังเกียจฉันไหม" ฤดีรัตน์หรี่ตาปรือ "ถ้ารังเกียจผมจะให้คุณนั่งโต๊ะเดียวกันเหรอ" "ถ้าอย่างนั้นคืนนี้" หมอคชาจ้องหน้าเธอ "คืนนี้นอนกับฉันได้ไหมคะ วันไนท์สแตนด์ ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน" +++++++++++++++++++++ มีตัวละครต่อเนื่องจากเรื่อง รักอย่า...หย่ารัก นะคะ อ่านแยกกันได้ค่ะ ไม่งง ขอให้อ่านสนุก เฌอเลียร์
ชนิษฐารักคณิศร แต่เขารักอีกคน อ้อมกอดเขามีให้เธอ แต่ในใจเขาคิดถึงใคร ทำดีสักเท่าไร สุดท้ายคณิสรมองชนิษฐาเป็นเพียงเครื่องมือผลิตลูก การแต่งงานอันหลอกลวงต้องจบลง ถึงเวลาแล้ว ที่เธอจะหย่า! +++++++++++++++++++++++++++++ ชนิษฐาช็อกกับภาพตรงหน้า "ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นได้คนผลิตลูก แม่วัวยังไงล่ะคะดิน แต่สำหรับหวาย หวายคือนางในดวงใจของดิน อ้า อะ อะ อะ..." คงจะเป็นสามีของชนิษฐาด้วยที่เด้งเอวตอบกลับการกระทำของสุธาวี เคล้ง... ข้าวของในมือของชนิษฐาร่วงหล่น คณิศรยกหัวขึ้นมาด้วยความตกใจ สายตาของเขาสบต้องสายตากับชนิษฐา ที่ในเวลานี้น้ำตาที่ไหลลงมากลบม่านตา ยืนปากคอสั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของชนิษฐาในตอนนี้ คือหนีไปให้ไกลแสนไกล เธอวิ่งออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ตรงไปที่รถของเธอ แล้วขับออกไป คณิศรผลักตัวของสุธาวี "ออกไป พอได้แล้วหวาย หยุดเถอะ คุณกำลังทำให้ชีวิตผมพัง" "หวายทำพังเหรอคะ พังเหรอคะ ดิน... เราสองคนกำลังมีความสุขด้วยกันต่างหาก ดินยอมรับความจริงเถอะค่ะว่าคุณน่ะขาดหวายไม่ได้" ++++++++++++++++++++++++++++++ ติ๊ง... ติ๊ง... มีข้อความเข้า และทุกวันนี้จะเป็นข้อความจากสินเป็นส่วนใหญ่ คณิศรหยิบมือถือขึ้นมา เมื่อเปิดเข้าไปดู รูปที่บาดตาบาดใจ บาดหัวใจ ผู้ชายคนนั้นเปิดประตูให้กับชนิษฐา เธอหันมายิ้มให้เขา และขึ้นไปนั่ง คณิศรถึงกับทิ้งมือถือ และหลับตาลงทันที เขาเศร้าหม่นในหัวใจมาก ทำไมเป็นแบบนี้ มันจะลงเอยแบบนี้ไม่ได้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ