ดาวน์โหลดแอป ฮิต
หน้าแรก / โรแมนติก / เพลิงแค้นบัญชารัก
เพลิงแค้นบัญชารัก

เพลิงแค้นบัญชารัก

5.0
47 บท
26.6K ชม
อ่านเลย

เกี่ยวกับ

สารบัญ

ความแค้นเป็นดั่งเพลิงทำให้ ‘ชีค มาริส กอบู๊ซ อัลบา’ ทำทุกวิถีทางเพื่อดับแค้น ทว่าความซื่อบริสุทธิ์ของ “ปาณิศา” ปลุกเร้าจิตใจที่เคยเยียบเย็นของเขาด้วยไฟรักอย่างไม่รู้ตัว! ‘ปาณิศา’ หญิงสาวที่แสนเปราะบางดุจดอกไม้ไม่เคยรู้เลยว่า สุภาพบุรุษที่แสนอบอุ่นอย่าง ‘ชีค มาริส กอบู๊ซ อัลบา’ จะมองเธอเป็นเพียงน้องสาวของ ‘ภาณุ’ พี่ชายต่างสายเลือดที่ทำร้ายจิตใจของ ‘ฟารีดา’ น้องสาวเพียงของเดียวของชีคมาริสจนเกือบฆ่าตัวตาย เพราะความแค้นบังตาทำให้มาริสทำทุกวิถีทางเพื่อหลอกล่อปาณิศาให้ติดกับดักของเขาและจะได้ทำลายจิตใจของภาณุให้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่เขาได้รับ ทว่าความอ่อนหวานและจริงใจของปาณิศาทำความแค้นที่เผาไหม้จิตใจมาริสมอดดับลง หากการทำร้ายจิตใจที่แสนเปราะบางคือชัยชนะแต่ทำไมเขากลับปวดใจยิ่งนัก หรือจะยอมพ่ายแพ้เพื่อได้ครอบครองรักแท้ที่หัวใจปรารถนา เขาและเธอควรทำอย่างไรกับเกมหัวใจครั้งนี้.

บทที่ 1 ปาณิศา

กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นสมุนไพรชื่อ ‘อัปสร’ กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายผลไม้สุกชื่อ ‘เอกไพศาล’ กลิ่นหอมระเรื่อชื่อ ‘ชุมแสง’ แต่ที่กลิ่นหอมแรงถูกขนานนามว่า ‘เพลิงพิรุณ’

‘ปาณิศา’ ลืมตาขึ้นก่อนระบายยิ้มจางๆ เธอก้าวเท้าตามกลิ่นหอมของต้นลีลาวดีที่มีหลากหลายสายพันธุ์ในสวนของพ่อภากรซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมที่ดูแลเธอมากว่าสิบปี ทุกๆ เช้าเธอจะเดินดมกลิ่นดอกไม้และเดาว่ากลิ่นที่สัมผัสได้คือต้นไหน พันธุ์อะไร บางครั้งเธอก็เดาถูก บางทีก็เดาผิด แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ในบ้านสวนที่ปลูกลีลาวดีเป็นรายได้หลักของครอบครัว แต่เธอก็ยอมรับว่าเธอรู้จักพืชชนิดนี้น้อยมาก หมือนกับที่เธอเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวในอดีตของตัวเองมากนัก

หญิงสาวร่างบอบบางรวบผ้าถุงลายดอกที่สวมอยู่แล้วเดินกลับเข้ามาในบ้านไม้ที่ดูจะกลมกลืนกับบริเวณรอบบ้านที่เต็มไปด้วยต้นลีลาวดี บ้านหลังน้อยที่อาศัยเพียงแค่สองคนพ่อลูกแค่นี้มากมายพอแล้วในความคิดของปาณิศา ไม่ไกลนักมีโรงเรือนไว้เพาะพันธุ์ไม้โดยเฉพาะ ภากรมีคนงานค่อยช่วยดูแลต้นไม้แต่สวนใหญ่จะมีบ้านพักอยู่ในละแวกใกล้เคียง จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีที่พักสำหรับคนงาน แต่ปาณิศาเคยได้ยินบรรดาคนงานแอบแซวพ่ออยู่บ่อยๆ ว่า ‘เพราะพ่อห่วงลูกสาว’ ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้แม้กระทั่งคนงานก็ไล่กลับไปนอนบ้านหมด

ใครต่อใครรู้ดีว่า‘ภากร’ มีลูกชายคนเดียวคือ ‘ภาณุ’ ที่เวลานี้ไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ สองพ่อลูกที่มีไม่ค่อยลงรอยกันนักทำให้ภาณุแทบไม่โผล่หน้ามาให้เห็น แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า ‘ปาณิศา’ หรือ ‘ฝน’ ที่ภากรรับมาเป็นลูกบุญธรรมนั้น นอกจากจะไม่ได้เป็นญาติฝ่ายไหนแล้ว

‘ปาณิศา’ คือลูกสาวคนเดียวใน ‘ตระกูลอิ่มเอมทรัพย์’ เมื่อสิบปีที่แล้วเคยเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ครอบครัวอิ่มเอมทรัพย์ล้มละลายหัวหน้าครอบครัวฆ่าภรรยาและลูกสาวอายุสิบขวบด้วยการผสมยาฆ่ายาใส่นมสดและฆ่าตัวตายตาม มันเป็นข่าวดังอยู่แค่ไม่กี่วันก็เงียบหาย จึงไม่มีใครรู้ว่าลูกสาวคนเดียวของตระกูลอิ่มเอมทรัพย์ถูกช่วยชีวิตไว้ทันด้วยความช่วยเหลือของคนทำสวนที่อยู่รับใช้ในบ้านมานานหลายปี

“พ่อหนูไปไหน แม่หนูไปไหน ฮือๆ”

“คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายไปสวรรค์แล้วครับคุณหนู”

“ฝนจะไปหาพ่อกับแม่ ฮือๆ ฝนจะไปหาพ่อกับแม่ ฮือๆ”

“คุณหนูไปไม่ได้...คุณหนูยังเด็กอยู่...”

“ฝนจะอยู่กับใคร...ฝนไม่มีใครแล้ว พ่อกับแม่ไม่รักฝนแล้ว...ฮือๆ”

“ลุงจะอยู่กับคุณหนู...ลุงจะเป็นพ่อเป็นแม่ให้คุณหนู”

นับจากนั้นเป็นต้นมา มือเล็กที่เคยเกาะเกี่ยวเรียก ‘ลุงภากร’ ก็เปลี่ยนมาเรียก ‘พ่อภากร’ เกือบสิบปีแล้วที่เธอมาอาศัยอยู่ที่บ้าน เธอเติบโตจาก ‘เด็กหญิง ปาณิศา อิ่มเอมทรัพย์’ จนกลายเป็นหญิงสาว ‘ปาณิศานาดี’ ซึ่งเป็นนามสกุลของภากร บ้านหลังใหญ่ถูกธนาคารเข้ายึดทรัพย์และขายทอดตลาดในเวลาต่อมา เธอกับภากรจึงกลับมาที่นครปฐมบ้านเดิมของภากร จากที่เคยเป็นลูกคนเดียวมาตลอด ปาณิศาก็มีพี่ชายที่แก่กว่าแปดปีชื่อ ‘ภาณุ’ ภากรมีลูกชายก่อนที่จะไปทำงานที่บ้านพ่อแม่แท้จริงของปาณิศา แต่เพราะแม่ของภาณุทิ้งลูกชายไว้และหนีไปแต่งงานใหม่ ทำให้ภากรกลายเป็นพ่อหม้ายลูกติดอย่างไม่ตั้งใจ

ปาณิศาเผลอยิ้มน้อยๆ ออกมาเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ภากรแนะนำให้เธอรู้จักกับภาณุ ตอนนั้นภาณุเรียนช่างกลดูท่าทางน่ากลัวจนปาณิศาต้องไปแอบอยู่ด้านหลังภากร ภาณุทำหน้าเซ็งๆ เดินออกจากบ้านไปไม่ถามอะไรสักคำ แต่วันต่อมาภาณุจะมีช็อกโกแล็ตราคาถูกมาวางไว้ให้เธอ ในความเงียบขรึมกลับซ่อนความอ่อนโยนไว้อย่างไม่น่าเชื่อ ภาณุอยู่บ้านไม่นานก็ไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ นานๆ จะกลับบ้านสักที แต่ทุกครั้งที่กลับมาก็จะมีของฝากเธอเสมอ แม้กระทั้งตอนนี้ที่ภาณุทำงานที่บริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งเขาก็ยังส่งตุ๊กตาหรือช็อกโกแล็ตมาให้เสมอ

“โฮ่ง โฮ่ง!”

“อย่าเสียงดังซิ ข้าวปุ้น เดี๋ยวพ่อภากรตื่นนะ”

หญิงสาวดุเจ้าชิสุห์อายุสองขวบที่กระดิกหางไปมา เจ้าหมาน้อยนี่ก็อีก...ภาณุอุ้มลูกหมามาหาเธอในเช้าวันหนึ่งที่ฝนตกลงมาปรอยๆ เขาบอกว่ามันเป็นหมากำพร้าเจ้าของ...เดิมทีมันมีคู่รักเลี้ยงดูมัน แต่พอความรักจบกลับไม่มีใครยอมเลี้ยงเจ้าหมาน้อยตัวนี้ เขาจึงอาสาอุ้มมันมาให้เธอ คราวแรกที่เห็นหน้ากัน ปาณิศายอมรับเลยว่า มันเป็นหมาที่มอมแมม ดูแป๊ปเดียวก็รู้ว่า...ไร้คนเหลียวแล เธอพยายามจะสางขนยุ่งๆ ของมันแต่ก็ไม่เป็นผล จนต้องกร่อนแล้วเลี้ยงขนยาวของมันใหม่ ‘เจ้าผ้าขี้ริ้ว’ ในวันนั้นกลายเป็น ‘คุณชายน้อย’ ในวันนี้ด้วยฝีมือการใส่ใจดูแลของเธอ

ปาณิศาลงมือทำอาหารมื้อเช้าง่ายๆ เช่นทุกครั้งเธอทำได้เพียงเท่านี้ ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่ครั้งนั้นทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรที่ออกแรงมากได้เลย ขนาดว่า...เธอเรียนจบมัธยมปลายแล้วต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยทางไปรษณีย์ แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนเรียนดีเธอจึงเรียนจบได้ในเวลารวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ที่แท้จริงเธอยังอยู่และเธอเป็นคุณหนูในตระกูลอิ่มเอมทรัพย์ เธอคงได้เรียนต่อจนจบในระดับดอกเตอร์แล้วก็ได้

แต่มันจะมีประโยชน์อะไร หากเรียนจบมาแล้วไม่สามรถนำมาใช้งานอะไรได้เลย

หญิงสาวหันมาสนใจอาหารมื้อเช้าของตนเอง เมื่อไข่เจียวหอมกรุ่นพร้อมเสิร์ฟกับผัดผักรวมมิตร ก็ได้เวลาที่ภากรตื่นและเดินลงมานั่งกินกาแฟที่ชั้นล่างเมื่อทุกครั้ง เจ้าหมาน้อยนามข้าวปุ้นกระดิกหางแล้ววิ่งเข้าใส่ทักทายเหมือนทุกครั้ง แต่เจ้าของต้องส่งเสียงดุเจ้าหมาน้อยจึงแกล้งหงอยนอนหมอบใต้โต๊ะกินข้าว

“จะไปดุมันทำไม...ดุไปมันก็ไม่จำหรอก”

“ก็...มันเสียมารยาทนี่คะ เรากำลังจะกินข้าวมันมานั่งจ้องหน้าเราแบบนี้จะถูกเหรอค่ะแล้วพ่อก็เลิกให้ท้ายมันเสียทีเถอะค่ะ มันจะเสียหมาเปล่าๆ”

“เอ้า! แล้วมาเกี่ยวอะไรกับพ่อด้วยเหล่านี่...”

ภากรพูดพลางหัวเราะ ตั้งแต่มีเจ้าหมาน้อยเข้ามาในบ้านรู้สึกว่าเสียงหัวเราะจะเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย คนเป็นลูกค้อนเข้าให้ ข้าวปุ้นเงยหน้าเหมือนจะยิ้มเยาะเย้ย หญิงสาวเผลอแลบลิ้นใส่ แต่เมื่อนึกได้ก็แกล้งทำเป็นเทอาหารเม็ดใส่ถ้วยแล้วยื่นให้มันได้กลิ่น

ข้าวปุ้นรีบลุกขึ้นยืนสองขาของอาหารทันที

“ทีแบบนี้ทำมาเป็นง้อเรานะ เจ้าข้าวปุ้น”

“มีหมาง้อก็ยังดีกว่าไม่มีใครง้อน๊า...”

“พ่อคะ! พ่อจะเข้าข้างใครกันแน่”

“เอาละๆ ช่างเถอะ” ภากรโบกไม้โบกมือห้ามศึก “ตกลงพรุ่งนี้ลูกจะไปออกบูธงานแสดงต้นไม้แน่นะ”

“ไปคะ เราเตรียมตัวมาตั้งเป็นเดือน...ยังไงฝนก็จะต้องไปให้ได้”

แววตามุ่งมั่นของปาณิศาทำให้ภากรได้แต่ถอนหายใจหนักๆ “นี่ถ้าขาพ่อไม่เจ็บ พ่อจะไม่ให้ลูกต้องไปลำบากเลย” ภากรหมายถึงขาข้างขวาที่เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุหกล้มเมื่อสองวันก่อนจนกระดูกข้อเท้าเคลื่อนทำให้เดินเหินไม่สะดวก

“ลำบากอะไรคะ พ่อน่ะ...ลำบากเพราะฝนมาเยอะแล้ว ให้ฝนทำอะไรเพื่อพ่อบ้างเถอะค่ะ” หญิงสาวเข้ามากอดเอวประจบผู้เป็นพ่อแม้จะเป็นพ่อบุญธรรมก็ตาม

อ่านต่อ
img ไปดูความคิดเห็นเพิ่มเติมที่แอป
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY