ประตูบานใหญ่ปิดลง ทว่าคนที่ยืนพิงกลับมีรอยยิ้มกว้างระบายขึ้นบนใบหน้า ทองยิ้มอย่างหยุดไม่ได้ แม้ยังไม่รู้ว่าใช่แน่หรือไม่ แต่หัวใจเขาก็เต้นรัวเร็วอย่างห้ามไม่อยู่ คือความตื่นเต้น ยินดี ชุ่มชื่นใจ เสมือนหัวใจนี้กำลังเติบโต ผลิใบและออกดอก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แห้งแล้งเหลือทน ทองรับรู้ได้ว่าทั่วทั้งร่างสะท้าน มีความอบอุ่นแผ่ซ่านทุกอณูเนื้อ รอบกายราวเกิดแสงน้อยใหญ่เสมือนมีหิ่งห้อยนับร้อยกะพริบระยิบระยับอยู่ตรงหน้า ด้วยหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มที่นั่งเคียงข้างคุณป้าส้มจีนนั้น... ลูกจันทร์เหลือบตาขึ้นมองคุณพระนายรูปงามก่อนจะรีบหลุบตาลง ด้วยสายตาหยอกเย้านั้นส่งผลให้ขนกายทั่วตัวลุกพึ่บ อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวเข้าจู่โจมกายหล่อนอีกครั้ง เข้าใจได้ในครานี้ว่าอาการที่หล่อนเป็นเรียกว่า ‘สะท้านสายตาชาย’ นี่คือ ‘สิ่งต้องห้าม’ สำหรับแม่สื่อตามที่คุณป้าสอน หล่อนจะพึงใจในชายผู้ว่าจ้างไม่ได้ จำต้องรีบสลัดไล่ความรู้สึกนี้ให้เร็วไว เพราะหล่อนมีหน้าที่เป็น ‘แม่สื่อแม่ชัก’ มิใช่มานั่งให้คุณพระนายดูตัว
“เฮ้ย! อย่าหนีนะ เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงโหวกเหวกของผู้คนและเสียงตะโกนลั่นของผู้หญิงที่ดังกว่าใครส่งผลให้มือที่กำลังเอื้อมหยิบ ‘เอี๊ยวโก้ว’ ซึ่งวางขายอยู่ด้านข้างจักจั่นสีสดใสชะงักค้าง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันฉงนเล็กน้อย เพราะคาดว่าเจ้าของเสียงแหลมเล็กนั้นเป็นหญิงสาวรุ่นอย่างแน่นอน เหตุใดหล่อนไม่รักษากิริยาที่สตรีพึงมีกลับส่งเสียงล้งเล้งดังข้ามฟากคลองแบบนี้ แต่แล้วเสียงที่ตะโกนตามมาก็ทำให้เขาคลายความสงสัย
“ขโมย! อ้าวเฮ้ย! ช่วยกันจับขโมยหน่อย เฮ้ย! หยุดนะ”
ใบหน้าคมคายหันมองต้นเสียงอีกฟากคลอง ที่เห็นคือหญิงสาวร่างเล็กใส่เสื้อคอปิดแขนยาวสีมอครามและสวมกางเกงสีครามออกเข้ม หล่อนเป็นต้นเสียงที่ตะโกนโหวกเหวกและกำลังวิ่งไล่ตามชายร่างเล็กเนื้อตัวขะมุกขะมอม หล่อนวิ่งไปก็ตะโกนให้คนช่วยจับขโมยไปด้วย แต่เจ้าขโมยก็ปราดเปรียววิ่งหลบวิ่งหลีกมาจนถึงท่าเรือฝั่งตรงกันข้ามกับเขา
หญิงสาววิ่งมาทัน แต่ชายร่างเล็กเลือกทางหนีโดยการกระโดดลงไปเหยียบหัวเรือที่จอดเรียงรายค้าขายอยู่บริเวณนั้น จากเรือขายส้มโอก็กระโดดไปหาเรือขายมะพร้าว แล้วกระโดดต่อไปที่เรือขายก๋วยเตี๋ยว เสียงแม่ค้าในเรือร้องวี้ดว้ายตามมาด้วยเสียงด่าขรมที่หัวขโมยเกือบทำให้เรือขายของล่ม
‘ต้องช่วยหล่อน’ คิดดังนั้นร่างสูงใหญ่ในชุดสูทเรียบหรูสีนวลมองตรงไปยังสะพานใกล้สุด เขาต้องวิ่งข้ามสะพานไปเพราะถ้าให้เขากระโดดเหยียบหัวเรืออย่างขโมยนั่น มีหวังได้ตกน้ำก่อนไปช่วยหล่อนแน่ ทว่ายังไม่ทันได้ขยับก็เห็นชายฉกรรจ์หลายสิบคนวิ่งมาสมทบกับหล่อน ‘หล่อนได้ผู้ช่วยแล้ว’
หล่อนทำสัญญาณมือพร้อมพูดบางอย่างที่เขาเดาว่าหล่อนกำลังตระเตรียมการกับชายฉกรรจ์เหล่านั้นให้วิ่งไปดักชายร่างเล็กทุกทาง นั่นยิ่งทำให้เขาฉงน เพราะชายฉกรรจ์เหล่านั้นอายุมากกว่าหล่อนอย่างแน่นอน แต่กลับรับคำสั่งและทำตามหล่อนราวกับว่าหล่อนเป็น ‘ตั่วเจ้’ ของพวกเขาเสียอย่างนั้น
ชายเหล่านั้นแยกเป็น 2 กลุ่ม ตามหล่อนชี้นิ้ว กลุ่มหนึ่งกระโดดลงเรือไล่ต้อนชายร่างเล็ก อีกกลุ่มวิ่งต้อนบนบกไม่ให้ขึ้นฝั่งได้ พวกแม่ค้าในเรือก็พร้อมใจกันหยิบผลไม้และพืชผักที่ตนเองขายขว้างปา นั่นทำให้ชายร่างเล็กเร่งหนี กระโดดเหยียบหัวเรือพายขายของแต่ละลำไปตามเส้นทางที่ถูกต้อน ก่อนจะปีนเข้าไปในเรือโยงบรรทุกข้าวสาร
เขาละสายตาจากหัวขโมยมองตรงไปยังหญิงสาว หล่อนออกมายืนจังก้าอยู่ที่หัวตะพาน หน้าตาจิ้มลิ้มบึ้งตึงแต่กลับทำให้เขาฉงน เพราะไม่เคยเห็นทีท่าหญิงใดเป็นเยี่ยงนี้มาก่อน หล่อนดูก๋ากั่นทว่า... น่ามองเป็นที่สุด
หล่อนชี้นิ้วออกคำสั่งอีกครา นั่นล่ะเขาได้ยินเสียงตุ๊บตั๊บสลับกับเสียงร้องโอดโอย ซึ่งคงไม่ใช่เสียงร้องของชายฉกรรจ์เหล่านั้นแน่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงก่นด่าสมน้ำหน้าจากเหล่าพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของ
แค่อึดใจ ชายฉกรรจ์ 2 คนก็หิ้วปีกชายร่างเล็กขึ้นมาจากเรือโยง ก่อนจะนำมาคุกเข่าตรงหน้าหล่อน
ใบหน้าจิ้มลิ้มไม่บึ้งตึงเหมือนเมื่อครู่แต่กลับดูเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการ หล่อนทำหน้านิ่งค้อมกายเล็กน้อยราวข่มขวัญ ริมฝีปากกระจับน้อยๆ ขยับพูดบางอย่างกับชายร่างเล็ก อากัปกิริยาดุดันกว่าที่สั่งการชายฉกรรจ์เมื่อครู่ ทั้งยังชี้นิ้วและทำท่าปาดคอจนเจ้าหัวขโมยก้มหน้างุด
ท่าทีของหล่อนดุจนางพญากำลังสั่งสอนข้าทาสบริวาร หรืออาจเป็นมัจจุราชร้ายที่จะมาพร่าวิญญาณชายร่างเล็กที่นั่งสั่นงันงกยกมือไหว้หล่อนปลกๆ ก็ได้
หล่อนช่างแปลกไปจากหญิงสาวที่เขาเคยเห็น แต่เขากลับล่ะสายตาจากดวงหน้าจิ้มลิ้มไม่ได้เลย และระยะที่ไกลพอควรก็ทำให้เขาจ้องหล่อนได้เต็มที่โดยไม่ต้องเกรงคำครหา เขาอยากได้ยินสิ่งที่หล่อนพูดแต่ด้วยอยู่คนละฟากคลองก็จนใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เดาได้ แม้ไม่ได้ยินเสียงแต่เขาเห็นภาพ
ใบหน้าจิ้มลิ้มเรียบนิ่งแต่แววเจ้าเล่ห์ยังอยู่ ดวงตาคมเข้มจับจ้องมองริมฝีปากสีเกสรชมพู่ขยับขึ้นขยับลงจนจับคำพูดได้ว่า ‘เข้าใจไหม’ และชายร่างเล็กก็พยักหน้ารับ ทว่าชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่ยืนอยู่ใกล้หล่อนที่สุดเหมือนจะทักท้วง แต่เจ้าหล่อนส่ายนิ้วชี้ว่าไม่ ชายที่ยืนด้านข้างจึงหันบอกบางอย่างกับชาย 2 คนที่หิ้วปีกขโมยมา จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าไปจับแขนที่อ่อนแรงกึ่งดึงกึ่งลากไป
อีกครั้งที่เขาได้เห็นสีหน้าของหล่อนอีกแบบ ‘หล่อนสมใจ’ รอยยิ้มละไมกระจ่างบนใบหน้าขาวนวลดุจจันทร์วันเพ็ญ ทว่าหล่อนไม่ได้ยิ้มให้เขา หล่อนยิ้มราวจะประจบชายคนนั้นก่อนจะเดินกลับไปยังทิศทางที่หล่อนวิ่งมา
‘ทอง’ ไม่รู้ตัวเลยว่าก้าวเท้าตามหล่อนเป็นคู่ขนานคนละฟากคลอง จนได้ยินเสียงเรียกจากเจ้าของร้านชำ จึงได้สติ เพราะเขาเลือกของไว้แล้วยังไม่จ่ายเงิน
“คุณ... ของที่เลือกไว้จะเอาไหม”
“เอา... เอาครับแป๊ะ เท่าไรครับ”
“สิบสตางค์น่ะคุณ ใส่ถุงเลยไหม”
“ครับแป๊ะ ใส่เลยครับ”
ทองรับคำหยิบเงินออกมายื่นให้อาแป๊ะเจ้าของร้านหน้าตาใจดี ทว่าเมื่อหันมองหล่อนอีกคราก็คลาดกันแล้ว แม้จะเสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อแซ่ แต่ด้วยมารยาทเขาก็ต้องรออาแป๊ะเอาของใส่ถุงให้เรียบร้อยเสียก่อน ระหว่างนั้นหญิงร่างท้วมที่เพิ่งข้ามสะพานมาจากอีกฝั่งก็เดินเข้ามาในร้าน หยิบจับเลือกหาข้าวของ อาแป๊ะที่เดินออกมาพอดีก็เอ่ยทัก
หากนาไม่แล้ง ข้าวไม่แห้งตาย ‘เดช’ ก็ไม่คิดจะหอบเอา ‘ฟ้า’ เมียรักเข้ามาทำงานในเมืองกรุง แต่ความจนทำให้เลือกไม่ได้ และงานดี เงินดี เจ้านายเห็นใจ ก็เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ทว่า... หากรู้ว่ามาแล้วจะต้องเสียเมียให้นายฝรั่ง เดชเลือกที่จะไม่มาเสียยังดีกว่า แต่... เสียแล้วคือเสียเลย สิ่งเดียวที่จะชดเชยความแค้นก็คือ ‘เมียนาย’ คุณผู้หญิงเร่าร้อน เร่งเร้า รุนแรง และมากครั้งเท่าที่ต้องการ เดชไม่รู้แล้วว่านั่นคือการแก้แค้นหรือรางวัล +++++ ‘เดช’ พา ‘ฟ้า’ เมียรักมาทำงานที่บ้านนายฝรั่ง แต่ ‘คริส’ นายฝรั่งกินเมียเขาไปแล้ว และยังเอาดุ้นยาวใหญ่มาล่อให้ฟ้าติดใจ จนฟ้ากินไม่อิ่มไม่พอ อยากได้อะไรที่เทียบเท่า เขาก็เลยแอบกิน ‘โรส’ เมียของนายฝรั่ง แก้แค้นให้สาสม แต่แค้นช่างแสนหวานและฉ่ำชุ่ม จนเขาต้องกินซ้ำๆ ยิ่งได้กินพร้อมๆ กับพี่โชค เขาก็ยิ่งเมามัน และแน่นอนว่าโรสชอบ ในขณะที่นายฝรั่งกระหยิ่มยิ้มที่ได้กินเมียเขา เดชกลับสุขและยิ้มกว้างยิ่งกว่า เพราะเขาได้กิน ‘คุณหนูแพทตี้’ คุณหนูช่างร่านร้อนไม่ต่างจากแม่ แน่นอนว่าเขาชวนพี่โชคมากินด้วย
‘หากหัวใจปราศจากความแค้น คงไร้แล้วซึ่งลมหายใจ’ สำหรับหล่อน เขาคือชายชุดดำ บอดี้การ์ดหน้านิ่งของพ่อ เคร่งขรึม เก๊กหล่อ หมางเมินใส่ราวหล่อนไม่สำคัญ ก็แน่ล่ะ เพราะพี่สาวเขากำลังจะมาเป็นเมียใหม่ของพ่อ แต่มีเหรอที่หล่อนจะยอม นารีมีรูปเป็นทรัพย์ฉันใด หล่อนก็พร้อมจะลงทุนเพื่อสิ่งที่ได้มา ภายใต้แว่นดำนั้น หล่อนต้องรู้ให้ได้ว่า ‘หัวใจ’ หรือเปล่าที่ซุกซ่อนอยู่ แต่สำหรับเขา... หล่อนคือ เหยื่อ! ที่ความแค้นจะได้เอาคืน
ความรักหรือเพียงความปรารถนาแค่ข้ามคืน พบกับนิยายสุดเร่าร้อน 3 เรื่อง 1.คืนเคาท์ดาวน์ 2.คืนฝนฉ่ำรัก 3.คืนเหงาสาวข้างบ้าน
#มาดามทรายกับชายเลี้ยงม้า เปิดประสบการณ์รักร้อนในฟาร์มม้ากันสักครั้ง หรือจะลองกลิ่นฟางแห้งบ่มแดดอุ่นๆ ในโรงนาก็ไม่เลวนะ +++++ เคิร์กรู้ว่าฉันชอบขี่ม้า เขาจึงสอนให้ฉันขี่ม้าจริงๆ หลังจากขี่เขาจนช่ำชองมาหลายครั้ง และฉันก็หัวไวสอนง่ายซะด้วย เพราะเมื่อฝึกหัดขี่ม้าจริงตอนเย็นเสร็จ พอตกกลางคืนฉันก็ซ้อมขี่กับม้าเทียมอย่างเคิร์กอยู่ทุกวัน ไม่ได้ว่างเว้น และก็มีบ้างเป็นบางวันที่ฉันทนไม่ไหวและเคิร์กก็อดไม่ได้ เมื่อฟางใหม่หอมกลิ่นแดดเร่งเร้าความกำหนัดของเราเหลือเกิน เคิร์กก็จะพาฉันไปซ้อมขี่กันที่คอกม้าในโรงนาซะหลายครั้ง และความตื่นเต้นก็ทำให้ฉันกับเคิร์กคึกคักกันมากเป็นพิเศษ ยามที่ฉันควบขี่เคิร์กอยู่ในโรงนา กลิ่นฟางแห้งที่รองรับร่างกายยิ่งใหญ่ของเขาอยู่นั้น เร้าใจจนฉันควบขี่เขาได้ไวกว่าที่เคยทำได้ บั้นเอวและช่วงบั้นท้ายทำหน้าที่โยกตัวไปข้างหน้าและโย้มาข้างหลัง ทว่าปากก็ร่ำร้องบอกถึงความเสียวซ่านที่ดุ้นบังเหียนกระทำกับร่องลึกลับของฉันอยู่ตลอดเวลา
พี่หนึ่งจะทำยังไงถ้าต้องเจอหน้า ‘พี่ชมพู่’ อยู่ทุกวัน รุ่นพี่สาวสวยที่เขาเคยไปสารภาพรัก แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยด้วยข้อหา ‘เด็กไป’ ครั้งนี้ พี่หนึ่งตั้งใจจะลบคำสบประมาทให้ได้ พี่ชมพู่จะได้รู้ว่า ‘รุ่นน้อง’ ก็ทำอะไรได้หลายๆ อย่างไม่แพ้รุ่นพี่ โดยเฉพาะพี่หนึ่งน่ะจบด็อกเตอร์สาขา ‘เซ็กซ์ศาสตร์’ มาซะด้วย ‘เด็กกว่าแล้วไง’ รุ่นพี่ถ้ามาเจอ ‘รุ่นน้อง... สายดาร์ก’ จะทนได้เหรอ พี่หนึ่งจะพิสูจน์เอง
เพราะเป็นคนสวน 'เมฆ' จึงต้องรดน้ำดอกไม้ของ 'คุณนายชวนชม' ทั้งวัน...ทั้งคืน ‘คุณนายครับ’ เป็นเรื่องราวความเร่าร้อนของ ‘เมฆ’ คนสวนหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวกายดำแดง ตามแบบฉบับคนท้องไร่ท้องนาเต็มขั้น เมื่อเมฆต้องมาทำสวนที่บ้านของ ‘คุณนายชวนชม’ เมฆก็เลยต้องเป็นคนสวนที่ดีที่สุด ดังนั้นดอกไม้ในบ้านของคุณนายไม่ว่าจะมีกี่ดอก เมฆก็ต้องทำหน้าที่รดน้ำดอกไม้เหล่านั้นให้ชุ่มฉ่ำ ทั้งวันและทั้งคืน
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!