เมื่อทุกคนในครอบครัวถูกขู่เอาชีวิต หญิงสาวจำต้องฝืนความเจ็บสักลวดลายบนเรือนร่างและสวมชุดกี่เพ้าผ้าไหมจีนแสนสวย พาตัวเองไปยืนอยู่หน้าพญามังกรดำ หยางโจวหมิง มาเฟียใหญ่แห่งเกาะฮ่องกง ผู้ชายรูปงามที่มีดวงตาสีสนิมเหล็กวาววับและเย็นชา มีเรียวปากโค้งบางเฉียบสีเข้มที่คล้ายจะคอยเหยียดหยามทุกคนตลอดเวลา ผู้ชายที่มีอำนาจล้นฟ้าและบงการชีวิตของใครก็ตามที่เขาต้องการ โดยเฉพาะ...ชีวิตของเธอ สรัญรัตน์ อัคราบริรักษ์ “คุณมันไม่ใช่คน ร้ายกาจที่สุด” สรัญรัตน์กัดฟันบริภาษเขาออกไป อย่างน้อยก็ขอพูดว่าสักนิดเถอะ ไม่ใช่แต่ยอมให้เขาข่มเหงอยู่ข้างเดียว “ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีคนแบบคุณอยู่บนโลกใบนี้” “ใครที่อยู่ข้างนอก ไปตามนายอรรถวัฒน์กลับมา!” “อย่า!!! ฉัน...จะทำ” พญามังกรดำหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังสีน้ำตาลเข้ม เขามองมือสั่นๆ ที่ค่อยๆ เลื่อนไปตามขอบเสื้อ มองผิวกายขาวผ่องเปิดเปลือยออกทีละนิด จนกระทั่งชุดกี่เพ้าเลื่อนลงมาอยู่ใต้อก บราเซียสีขาวสะอาดไร้สายดูเหมือนจะเล็กกว่าสิ่งที่ต้องปิดบังไปมาก เนินอกอิ่มล้นทะลักออกมาเบียดชิดกันอยู่ด้านบน เห็นร่องเนื้อขาวผุดผาดให้ไพล่คิดไปถึงสิ่งที่อยากเข้าไปอยู่ในร่องอกนั้น ชุดกี่เพ้าเลื่อนลงไปเรื่อยๆ มันช้าแต่ก็ทำให้ลมหายใจของหยางโจวหมิงขาดๆ หายๆ แต่ลมหายใจของสรัญรัตน์แทบขาดรอน เสียงสะอื้นเบาๆ ดังออกมาเป็นระยะไม่ได้ทำให้พญามังกรดำบังเกิดความสงสาร ดวงตาคมเฉียงขึ้นที่ปลายหางอย่างคนที่มีเชื้อชาติจีนแผ่นดินใหญ่ จับจ้องนวลนางละเอียดลอออย่างไม่ละสายตา หรืออีกทีเขาก็ไม่สามารถเบือนสายตาไปจากความงามเป็นหนึ่งนั้นไม่ได้ ผ้าไหมสีแดงสดปักลายดอกสีดำตัดกัน ค่อยเลื่อนลงมาถึงสะโพกผาย สัดส่วนโค้งเว้าดุจนาฬิกาทรายเรียกเลือดในกายชายหนุ่มให้เดือดพล่าน เรียวปากบางเฉียบได้รูปสวยของชายกระตุกมุมโค้งขึ้นก่อนจะแยกแย้มผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ มือใหญ่เริ่มเกร็งขึ้นเพราะความอยากจะแตะต้อง อยากจะตีตรา อยากจะลิ้มลองของใหม่สำหรับเขา แต่คงเก่าสำหรับคนอื่น นั่นเองที่ทำให้พญามังกรดำฝืนนั่งนิ่งอยู่กับที่ ทั้งที่ใจเต้นโครมครามอยู่ในอก สรัญรัตน์ชะงักมือที่เลื่อนชุดกี่เพ้าค้างไว้บนสะโพกสวย เธอสะอื้นฮักจนตัวโยนรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่าสิ้นดี ไม่คิดไม่ฝันว่าต้องมาแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายใจร้ายคนนี้ “ไม่ได้ยินที่ฉันพูด หรือฉันบอกไม่ชัดเจน ว่าให้เธอถอดเสื้อผ้าออกให้หมด หรือประโยคนั้นมันฟังดูดีจนเธอไม่เข้าใจ ฉันคงต้องบอกว่า ให้เธอแก้ผ้าจนล่อนจ้อนต่อหน้าฉัน...เดี๋ยวนี้”
บทนำ
ประเทศไทย พ.ศ.2528
ร่างสูงใหญ่ของประมุขแห่งตระกูลหยางกำลังประคับประคองร่างอวบอิ่มของคุณนายหยาง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ทายาทคนที่สองของตระกูล เด็กชายหยางโจวหมิงในวัย 4 ขวบ มองภาพการแสดงความรักของพ่อและแม่ด้วยตาเป็นประกาย เด็กน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่งกายด้วยชุดหล่อเหลาสมกับความเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่แห่งเกาะฮ่องกง วันนี้เป็นวันเกิดของมารดาหรือหยางเสี่ยวผิง คุณนายหยางผู้แสนงดงามซึ่งเกิดวันเดียวกับคุณทิพวรรณ อัคราบริรักษ์ ภรรยาของนักธุรกิจใหญ่ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย
ตระกูลหยางและตระกูลอัคราบริรักษ์ถือเป็นตระกูลเพื่อนซี้กันมาแสนนาน ยิ่งได้ร่วมทำการค้าขายด้วยกันแล้วก็ยิ่งเพิ่มความสนิทสนมจนแทบจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน หยางเฟ่ยหลงประมุขของตระกูลมักจะเดินทางไปมาหาสู่กับนายอรรถวัฒน์ อัคราบริรักษ์ แม้กระทั่งการไปเที่ยวรอบโลกก็ยังไปด้วยกัน ทั้งคู่ดื่มน้ำร่วมสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป โดยไม่คิดว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ในวันข้างหน้า
“ผมดีใจมากที่พี่เฟ่ยหลงอุตส่าห์บินมาจัดงานวันเกิดพร้อมกับเราที่นี่” นายอรรถวัฒน์โอบนางทิพวรรณ เดินเคียงข้างหยางเฟ่ยหลงที่กำลังโอบคุณนายหยางไปจนถึงโต๊ะที่ประดับประดาด้วยเทียนหลากสี กลางโต๊ะมีเค้กก้อนโตสว่างไสวเพราะถูกจุดเทียนเตรียมพร้อมแล้ว
“เกิดพร้อมกัน ก็ถือโอกาสเลี้ยงพร้อมกันไปเลย คนเยอะก็ยิ่งสนุกว่ามั้ย”
“เค้กพร้อมแล้ว” เสียงใครบางคนบอก ก่อนเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์พร้อมเสียงปรบมือจะดังขึ้น ทุกคนในที่นั้นมีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า มองไปทางไหนก็เห็นแต่เพียงความสุขเหมือนกับเสียงเพลงที่ช่วยกันขับร้องประสานเสียง
หยางเสี่ยวผิงจับมือทิพวรรณ เมื่อเสียงเพลงจบทั้งคู่ก็ก้มลงเป่าเค้ก
“ขอให้พี่เสี่ยวผิงมีความสุขสมหวังและมีรักที่ยั่งยืนนาน มีหลานที่น่ารักให้ทิพอีกคนนะคะ” ทิพวรรณอวยพรหยางเสี่ยวผิง พร้อมกับบีบมือนุ่มของคุณนายหยาง
“พี่ก็ขอให้น้องทิพมีความสุขสมหวังและมีหลานให้พี่ไวๆ นะจ๊ะ” คุณนายหยางอวยพรยิ้มๆ แล้วทั้งคู่ก็สวมกอดกัน
ในขณะที่กำลังดื่มด่ำกับความสุขกายสุขใจและบรรยากาศที่แสนจะงดงาม หยางเสี่ยวผิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติเหนือหน้าท้องนูนใหญ่ของตน อาการเจ็บแปลบเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และทวีความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเจ็บปวดของหยางเสี่ยวผิงทำให้ทิพวรรณและคนรอบข้างต้องมองอย่างเป็นห่วง
“พี่เสี่ยวผิงเป็นอะไรไปคะ” ทิพวรรณร้องถาม ในขณะที่หยางเฟ่ยหลงเข้ามาประคองร่างภรรยา
“นั่นสิ เสี่ยวผิงเป็นอะไรไป เจ็บท้องเหรอ”
“อูย...พี่เฟ่ยหลง ดูท่าว่าลูกเราอยากออกมาดูโลกแล้วค่ะ”
“จริงเหรอ งั้นไป พี่จะพาเสี่ยวผิงไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
“ให้เอกรัตน์ขับรถไปให้นะคะ เอ...หรือว่าเราจะไปพร้อมกันหมดแล้วให้คุณอรรถขับรถให้” ทิพวรรณออกความเห็นพลางซับเหงื่อบนใบหน้าของหยางเสี่ยวผิง
“ให้ผมขับรถให้ดีกว่านะครับ คุณอรรถกับคุณทิพค่อยขับรถตามมา จะได้ไม่เบียดกันเกินไป” เอกรัตน์รีบบอก
ความหวังดีของเขาไม่ถูกปฏิเสธ เพราะไม่มีใครอยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกันสักนาทีเดียว และหยางเฟ่ยหลงก็เป็นห่วงภรรยาจนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ สายตาของคนที่อาสาอยากเป็นสารถีมองคุณนายหยางและท้องโตๆ ของเธอยังไง สายตาลุกวาวแปลกประหลาดนั้นไม่มีใครได้เห็น
ในเวลาต่อมาในรถคันหรูของตระกูลอัคราบริรักษ์คันแรก จึงมีเอกรัตน์เป็นสารถีและมีประมุขกับคุณนายหยางอยู่บนเบาะหลัง
เสียงโอดครวญดังเป็นระยะพร้อมกับเหงื่อเม็ดโตที่พร้อมใจกันผุดขึ้นเต็มใบหน้า มือบางจิกบนหลังมือหนาของสามีแน่นราวกับต้องการถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ได้รู้ แต่หยางเฟ่ยหลงก็ยินดีที่จะรู้จักความเจ็บปวดก่อนความยินดีจังบังเกิด
“ทำใจดีๆ ไว้นะเสี่ยวผิง ไม่ต้องกังวล ลูกเราคนนี้จะต้องแข็งแรง”
“โอ๊ย! พี่เฟ่ยหลง” สิ้นคำถุงน้ำคร่ำก็แตกโพละ น้ำใสๆ ไหลอาบเรียวขาอวบ “ลูก...ลูก...”
“นี่นาย! ขับรถเร็วๆ กว่านี้ไม่ได้รึไง หรือจะให้ฉันขับเอง ห๊า!!” เพราะความเร็วรถที่ไม่ต่างจากเต่าคลานนักในความคิดของหยางเฟ่ยหลง ทำให้เขาเกือบกระชากคอเสื้อคนขับรถแล้วอัดให้ยับคาพวงมาลัย แต่เพราะมีร่างอิ่มในอ้อมแขนสิ่งที่ทำให้จึงเป็นเพียงตะคอกเสียงหลง
“จะช้าจะเร็ว เด็กก็ต้องออกอยู่วันยังค่ำ แต่...”
“แต่อะไร” ด้วยความเป็นมาเฟียทำให้ประมุขของตระกูลหยางเอะใจ หากแต่มือยังไม่ทันดึงปืนออกมาจากซอกแขน ปืนอีกกระบอกก็หันมาหาเมียรักเสียก่อน “นี่แก!!! จะทำอะไร”
“ตายไง ไปคลอดลูกในนรกพร้อมกัน 3 คน เลยดีกว่า”
สิ้นคำพูดคันเร่งก็ถูกเหยียบจนจม รถคันงามพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวติดปีก หยางเฟ่ยหลงกอดภรรยาไว้แน่น ถ้าไม่ถูกจ่อด้วยกระบอกปืนล่ะก็ เขาสาบานว่าจะจบคำพูดของมันพร้อมชีวิตของตัวมันเอง แต่แบบนี้เขาไม่อยากเสี่ยง
“แกต้องการอะไร ทำแบบนี้เพื่ออะไร”
“ผมต้องการในสิ่งที่พวกคุณไม่มีทางให้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถาม เตรียมตัวตายพร้อมกันดีกว่า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
ภาพตรงหน้ารวดเร็วจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น เมื่อรถคันโก้เสียหลักพลิกหลายตลบ หยางเฟ่ยหลงมองเห็นภาพปัจจุบันทันด่วนเบลอ รับรู้ได้ถึงแรงเหวี่ยงไปมาจนเจ็บไปทั่วร่างและจากนั้นสติของเขาก็ดับวูบไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป
“คุณอรรถดูนั่นสิคะ” ทิพวรรณตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นจนแทบเป็นลม จู่ๆ รถของหยางเฟ่ยหลงและหยางเสี่ยวผิงก็เร่งความเร็วแล้วตีลังกาหลายตลบ
“คุณพ่อ คุณแม่!!!” เสียงเด็กชายหยางโจวหมิงร้องลั่นรถ ดวงตาคู่นั้นเบิกค้างก่อนน้ำตาจะค่อยๆ กลิ้งลงอาบสองแก้ม
กลางป่าเขาเขียวขจี ระหว่างการหลบหนีไล่ล่า กองเพลิงแห่งไฟสวาท นั้นเร่าร้อนแผดเผา สองร่างดื่มด่ำรสสวาท สองหัวใจผูกพันยึดมั่น เร่าร้อน...รุนแรง… หากแต่แม้นออกจากป่า เปลวไฟสวาทนั้นก็ยังไม่มอดไหม้
เขา...พ่อเลี้ยงดรัณ พัชรอมรินทร์ ผู้ชายที่เกิดมาบนกองเงินกองทองแต่มีอดีตสุดแสนจะเจ็บปวด บาดแผลที่ทิ่มแทงหัวใจมาตลอดระยะเวลาหลายปีมันกำลังจะกลัดหนอง ถ้าไม่ทำการรักษาให้หาย เธอ...พลับพลึง โรจนศุภเกียรติ สาวน้อยวัยใสผู้มีโลกส่วนตัวที่แสนจะงดงาม และหลงรักผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งมาตลอด ‘ความรักคือการให้’ นี่คือนิยามความรักของเธอ เรื่องราวคงไม่วุ่นวายถ้าเธอไม่กลับมารับรู้ว่าเขาเป็น ‘หม้าย’ และเรื่องราวก็คงไม่วุ่นวายกว่า ถ้าเธอกับเขาไม่ต้องเปลี่ยนสถานะจาก ‘น้าเขยกับหลานเมีย’ มาเป็น ‘สามีกับภรรยา’ มันอาจจะเป็นความสมหวังถ้าเธอจะได้แต่งงานกับผู้ใหญ่ใจดีที่หลงรักมาตลอด แทนการแต่งงานกับผู้ใหญ่ใจร้ายที่ไม่รู้สาเหตุว่าอะไรถึงเปลี่ยนให้เขาเป็นคนละคน เถื่อนและไร้เหตุผลสิ้นดี “เมียของฉันต้องเก่งเรื่องบนเตียง ต้องทำกับข้าวอร่อย ต้องทำงานในไร่ได้ไม่ต่างจากคนงาน ที่จริงจะต้องทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง ขยัน ไม่นิ่งดูดายปล่อยให้แม่บ้านทำเอง เธอก็ต้องเป็นแบบนั้น” “ก็ได้ พลับทำให้ได้” “เริ่มเลย” “ปล่อยสิคะ ไม่ปล่อยแล้วจะทำได้ไง” ถ้าเขายังกอดเธอแน่นแบบนี้ ยังหายใจรดใบหน้าเธอแบบนี้ แล้วจะออกไปทำทุกอย่างที่ต้องการได้ยังไง “หน้าที่แรกที่บอก จำได้ไหม”
“เจ้านายอย่าคิดว่า ความคิดความรู้สึกของเจ้านายนั้นถูกหมดทุกอย่างนะคะ” สาวน้อยเริ่มไม่พอใจ ที่เขาหาเรื่องรวนเธอ ชวนนท์ยืนขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหยุดอยู่หน้าหญิงสาว ห่างกันแค่มือเอื้อมถึง ความสูงใหญ่ของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองยิ่งเล็กลงไปอีก “เธออย่าปฏิเสธฉันเลยดลลดา ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามา ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเธอกลัวฉัน” “ดิฉันไม่มีเหตุผลอะไรต้องกลัวคุณ” หญิงสาวเชิดหน้าตอบ “แน่ใจเหรอ” “ค่ะ” แล้วลำแขนเรียวกลมกลึง ก็ถูกมือใหญ่กระชากเข้าหาตัวชายหนุ่ม จนทรวงอกนุ่มหยุ่นแนบชิดกับอกกว้างแข็งแรงของเขา ดลลดาขืนตัวเอาไว้เต็มกำลังที่มี แม้จะเหลืออยู่น้อยนิดก็ตาม ดวงตาคู่สวยมองสบดวงตาคมกริบด้วยความหวาดกลัว “นั่นไง เธอกลัวฉันจริงๆ” ชวนนท์เห็นความกลัวในดวงตาของหญิงสาว “เจ้านาย ปล่อยค่ะ” เสียงใสๆ นั้นสั่นระรัว
เนื้อตัวเต้นเร่าเตลิดเพลิดไปตามสัมผัสร้อนแรง เธอบังคับให้หยุดคิดถึงคนอื่นนอกจากคุณวายุ แต่เมื่อริมฝีปากของวายุแตะเข้ากับกลีบกาย พร้อมทั้งตวัดลิ้นเลียไปทั่วซอกหลืบ กลีบเนื้อบอบบางแต่อวบอูมของ 'หมูชมพู' จึงกระดิกแอ่นหยัดบั้นท้ายกระดกซอกหลืบสวนทางกับเรียวลิ้นของวายุ "คุณอุ่น และหอมมากหมูชมพู" พรรณชมพูส่ายวนโคกเนินที่เบียดบดไปกับริมฝีปากหนา ลิ้นของเขาปาดไปมาบนติ่งกระสันเหมือนกับปาดหน้าเค้ก เธอดิ้นพรวดพราดกัดริมฝีปากจนเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ลิ้นสากๆ ห่อม้วนชำแรกเข้าไปในร่องสาวอันชุ่มฉ่ำ เมื่อนั้นริมฝีปากที่ถูกกัดจะห้อเลือดก็แยกอ้า พรรณชมพูเผลอกรีดร้องครวญครางถึงใครบางคน ที่จมอยู่ในห้วงความคิดไม่เคยเลือนหาย "อ๊า พี่เสือ" วายุผงกหัวขึ้นมองคนที่กำลังแอ่นลำคอและลำตัวทอดโค้ง แววตาของเขาไหววาบเป็นไฟ และเขาก็กัดกลีบกายบางๆ สีชมพูจนหมูชมพูของเขาสะดุ้งเฮือกสุดตัว "อ๊ะ เฮือก" เธอถูกกัด
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว