“ไม่รู้เรื่องได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันคงไม่ถูกแม่บังคับให้ต้องแต่งงาน” “อ๋อ...หวงชีวิตโสด” ธีรนัยน์เสียงขลุกขลักในลำคอ “คนอะไรไม่เจียมสังขารเอาเสียเลย แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้วยังทำตัวลอยชาย มุดห้องนี้ออกห้องโน้นอยู่ได้ นอนไม่หลับหรือไงถ้าไม่มีตุ๊กตามีชีวิตนอนเคียงข้างน่ะ” “ถามตัวเองดีกว่ามั้งลูกตาล เพราะฉันคนนี้ไม่อยู่ในห้องนอนให้เธอกอดไม่ใช่หรือไง เธอถึงได้หงุดหงิด จนต้องออกมาเดินตากลมชมดาวบนท้องฟ้าคนเดียวน่ะ” “เปล่า ฉันกำลังหาทางทำให้คุณล้มเลิกความคิดบ้าๆ นั่นต่างหากล่ะ ไม่เสียเวลามาคิดเรื่องไม่มีคนให้นอดกอดหรอกย่ะ” โชคดีที่ได้รู้เรื่องจากนิสากรมาก่อน ทำให้เธอพอมีเวลาคิดหาคำพูดโน้มน้าวใจให้สิงขรยกเลิกความคิด
ตอนที่ 1.
“ได้ข่าวไอ้เจ้านั่นแล้วใช่ไหม” เมื่อประตูห้องทำงานเปิดออกโดยไม่มีการบอกกล่าว ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งที่โต๊ะทำงานหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกรบกวน แต่เพราะรู้ว่าคนที่เข้ามาเป็นใครโดยไม่แหงนหน้าขึ้นดูจึงให้อภัยได้ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเข้มและกระด้างอันเป็นนิสัยส่วนตัว
“ขอโทษที่รีบเข้ามาโดยไม่ทันได้เคาะประตูครับนาย เมื่อกี้ผมเดินผ่านบ้านใหญ่เห็นคุณครีมลงจากรถพอดี เลยคิดว่าต้องรีบมาบอกนายก่อน” ผู้เข้ามานามว่าอติภัทร ซึ่งเป็นลูกน้องคู่ใจเอ่ยขึ้นอย่างรู้ดีว่าเจ้านายไม่ชอบหญิงนามครีม หรือคุลิกาที่บิดาและมารดาหวังได้เป็นศรีสะใภ้สักเท่าไหร่ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ชายหนุ่มก็จะทำเสมอ
“ส่วนเรื่องที่ให้หา ผมไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า”
คำรายงานทำให้ชายที่เพิ่งจะลุกจากเก้าอี้เดินไปคว้าหมวกใบโปรดมาสวมศีรษะถึงกับหยุดชะงัก เหลียวใบหน้าคร้ามแกร่งและดุไปมองคนพูดที่ขณะมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยิ่งได้เห็นคิ้วหนาเป็นปื้นขมวดมุ่นเข้าหากัน ประกายในดวงตาสีดำสนิทราวกับนิลเต็มไปด้วยคำถาม ก็ทำให้ผู้เป็นลูกน้องถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง
“หมายความว่ายังไง...เดินไปคุยไปแล้วกัน” คนเป็นนายเอ่ยและเดินนำลูกน้องหลบออกจากบ้านทางประตูด้านข้าง เพื่อเลี่ยงที่จะเจอกับ...ครีม หญิงสาวผู้ที่ถูกวางตัวเป็นว่าที่คู่หมั้นและนิสากร! น้องสาวจอมก่อเรื่องที่ทำให้เขาต้องตามแก้ไขไม่หยุดหย่อน หากเจอกัน อากาศที่ปลอดโปร่งอยู่คงจะมีเมฆฝนตั้งเค้าก่อนพายุฝนจะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก พาให้คนรอบข้างโดนกระแสน้ำร้อนสาดกระเซ็นให้เจ็บกายไปตามๆ กันหลายคน
“เราได้ข่าวมาแค่ว่าไอ้หนุ่มนั่น...เดินทางกลับจากกรุงเทพมาที่นี่ด้วยรถโดยสารเที่ยวหกโมงเย็น จะมาถึงที่เกือบรุ่งสาง แต่...”
“มีอะไรผิดปกติไปหรือไง” ผู้เป็นนายเอ่ยถาม คิ้วหนาเป็นปื้นเลิกขึ้นเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงของอติภัทรออกจะไม่มั่นใจ คล้ายยังมีบางอย่างทำให้คลางแคลงใจ
“เมื่อตอนเที่ยง คนของเรายังเจอไอ้เจ้านั่นควงสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเดินเที่ยวห้างอยู่เลย” อติภัทรขมวดคิ้วเข้าหากัน จะเป็นไปได้ยังไงที่คนสองคนจะอยู่ต่างที่แต่ในเวลาเดียวกัน ถึงจะเป็นคู่แฝดก็ต้องมีส่วนที่แตกต่างให้จับพิรุธได้
“หือ...ข่าวไม่ได้ผิดพลาด” คนได้ฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ความจริงเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากหากน้องสาวจะมีแฟน ถึงจะเป็นพี่ชายแต่ก็ควรทำเพียงแค่คอยสอดส่องดูแลไม่ให้ทำอะไรเกินเลยไปเท่านั้น หากตั้งแต่ที่นิสากรได้คบหากับเด็กหนุ่มคนนั้น เงินที่เคยมีในบัญชีเริ่มร่อยหรอลงไป…แต่ละครั้งไม่น้อยเลย จากไม่คิดก็ต้องคิด ที่ไอ้เจ้าเด็กตัวแสบนั่นพาตัวมาสนิทสนม คบหากับน้องสาวเขาไม่ใช่เพราะรักจริง แต่อยากได้เงิน!
คนฉลาดคิดเป็น ย่อมจะไม่เอาในคราวเดียวเยอะๆ แต่จะค่อยๆ ล้วงเอาทีละน้อย เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย หากที่เขาคิดได้อย่างหนึ่งก็คือ เจ้าเด็กนั่นไม่สะเพร่าก็สมองกลวง ถึงได้ทำอะไรอย่างคนคิดตื้นๆ ถึงได้ขอทีละเยอะๆ เมื่อหาเงินได้ง่ายๆ ก็ใช้จ่ายไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย หลงระเริงกับความสุขฉาบฉวยจนลืมตัว เพราะคิดเพียงว่า เดี๋ยวหมดเมื่อไหร่ก็จะมาออดอ้อนขอจากนิสากรใหม่ ด้วยเหตุผลนานัปการที่ยกมาอ้าง ที่คนใจอ่อน ขี้สงสารมองโลกในแง่ดีอย่างนิสากรก็จะหลงกล ยอมให้ไปอีกก้อนโตๆ
“ข่าวไม่พลาดครับ มีผู้โดยสารชื่อธีรนัยน์ ชาวีชงโค เดินทางด้วยรถโดยสารเที่ยวหกโมงเย็นแน่นอนครับ”
“ตอนนี้...” ฟังอติภัทรบอก เขาก็รีบก้มหน้าลงมองนาฬิกาข้อมือ เลยทำให้ไม่ทันได้มองร่างบอบบางที่ถลันออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง
“หยุดนะพี่ช้าง! คุยกับนิก่อน” สาวน้อยร่างเล็กตะโกนเสียงแหลม พร้อมวิ่งกางแขนออกมาดักร่างผู้เป็นพี่ชายเอาไว้ ใบหน้าเธององ้ำ ดวงตากลมโตฉายแววเกรี้ยวกราดมองสบกับนัยน์ตาสีดำสนิทราวกับนิลของที่มองอย่างอิดหนาระอาใจ
“เข้าไปมุดหาอะไรอยู่น่ะเรา ถูกมดกัดจนผิวแดงหมดแล้ว ไม่เจ็บหรือไง ระวังนะถ้าไม่รีบไปอาบน้ำ ทายาจะคันคะเยอ กลายเป็นยายตุ่มลายแดง หมดสวยแล้วยังจะถูกคนอื่นล้ออีกนะ” ผู้เป็นพี่ชายกระเซ้าน้องสาวน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอ
ปกติแล้วความสวยเป็นหนึ่งเสมอ ทว่าคราวนี้นิสากรกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่สนใจ พลางปรายสายตาประหนึ่งแมวขู่ศัตรูไปยังคนช่างฟ้องที่พยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉยเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“ช่างสิ ถ้านิไม่สวย เป็นแผลยับเยิน ก็เพราะพี่ช้างนั่นแหละ”
“อ้าว! เกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะ ก็เรามุดไปให้มดมันกัดเองไม่ใช่หรือไง” เขายังถามเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ ใบหน้าคร้ามแกร่งเหลอหลา นัยน์ตาพร่างพราวระยับทอดมองน้องสาวด้วยความรักระคนเอ็นดูแกมอิดหนาระอาใจ
“ไม่ต้องมาทำเสียงเอือมระอาอย่างนั้นเลยนะพี่ช้าง คุณด้วย...อติภัทร หยุดหัวเราะและมองเหมือนนิเป็นเด็กไม่รู้จักโตได้แล้ว” เพราะหงุดหงิดจากการถูกพี่ชายสั่งกักบริเวณไม่ให้ออกไปไหน ทำให้นิสากรอารมณ์เสียอย่างหนัก จนระงับเอาไว้ไม่ได้ ปล่อยให้โทสะอยู่เหนือการควบคุม ออกอาการกระฟัดกระเฟียดฟาดงวงฟาดงาใส่คนไม่เกี่ยวข้องไปหลายยกแล้ว
“นิสากร!”
“ว่าไงคะคุณพี่สิงขร วงกตคีรีขา”
อติภัทรรีบเบือนหน้าที่เมื่อแรกยิ้มๆ อยู่ไปอีกทาง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะหลุดออกมาอย่างไม่กลัวถูกผู้เป็นนายเขม่น เพราะถูกน้องสาวสุดที่รักยั่วกลับ
สิงขรร้ายได้กับทุกคน โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนด้วย เพียงแค่ทำให้เขาไม่พอใจเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะแกร่งแค่ไหนทุกคนก็ย่อมมีจุดอ่อน ซึ่งก็คือนิสากรที่นายเขายอมให้ทุกอย่าง แต่ถ้าเมื่อใดที่พี่ชายบอกว่าไม่! น้องสาวก็จะต้องเชื่อฟังเช่นกัน
สิงขรทำหน้าเอือมระอา นัยน์ตาสีนิลกลอกไปมาอย่างระอาใจ “พี่ต้องรีบไปธุระ อาจกลับดึก มีอะไรเอาไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่านะ”
“ฮึ!” นิสากรทำเสียงขลุกขลักในลำคอ พลางย่นจมูกเล็กน้อย
“กี่ครั้งแล้วที่พี่ช้างบอกแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงก็หลบหน้าไม่ยอมฟังนิพูด บางทีก็หายไปเป็นอาทิตย์ คราวนี้นิไม่ยอมแล้วค่ะ ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง...เดี๋ยวนี้!”
“ทำไม มีอะไรสำคัญนักหนาหรือ เราถึงได้ร้อนอยู่ไม่ติดที่ ต้องวิ่งออกมาเต้นกระด้องกระแด้งเหมือนมดกัดเท้า” สิงขรถามประชดประชัน
“เย็นนี้นิมีนัดกับนัย” เธอรู้ดีว่าใช้ไม้แข็งกับสิงขรไม่ได้ นิสากรเลยรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสและสาวเท้าไปหา ก่อนสอดสองมือเล็กกับแขนกำยำ
“ให้นิไปนะคะพี่ช้าง สัญญาเลยจะทำตัวดีๆ ไม่ให้พี่ชายใจดีคนนี้ปวดหัวเด็ดขาด” รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะไม่พอ นิสากรยังจะยกมือชูสองนิ้วให้สัญญาอีกด้วย
คำพูดของน้องสาวทำให้สิงขรเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าคร้ามแกร่งหันไปมองพร้อมนัยน์ตาสีนิลยิงคำถามใส่อติภัทร
“ไม่พลาดครับ มีรูปให้ดูด้วย” อติภัทรก็ยืนยันในสิ่งที่ตนเองได้รับข่าวสารมา ที่ยังไงก็ไม่ผิดพลาดแน่นอน!
“คุยอะไรกัน...ท่าทางมีลับลมคมใน แบบนี้คิดไปทำอะไรไม่ดีกันอีกละสิ” ก่อนนิสากรจะร้องครางในลำคอ ดวงตาเบิกกว้างพอๆ กับปากที่อ้าอย่างไม่กลัวแมลงวันจะบินเข้าไปวางไข่ พลางส่ายศีรษะเป็นระวิง
“อย่าบอกนะ...พี่ช้างกับพี่ภัทรจะไปจัดการกับนัยน่ะ ไม่นะคะ นิไม่ยอม นัยไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ถ้าขืนพี่ทำอะไรรุนแรง นิโกรธ...งอน ไม่คุยด้วยเลยเอาสิ”
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
แต่งงานกันเป็นเวลาสามปี เสิ่มชูคิดว่าต่อให้ป๋อมู่เหนียนจะใจแข็งสักแค่ไหนก็ควรจะอ่อนลงได้ด้วยความรักที่เธอมีกับเขามาโดยตลอด แต่เมื่อเขาบังคับให้เธอคุกเข่าลงในหอบรรพบุรุษของตระกูล เสิ่มชูถึงตระหนักว่าแท้ที่จริง ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจ คนที่ไม่มีหัวใจ เธอยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่อีกทำไม? ดังนั้น เมื่อป๋อมู่เหนียนขอให้เธอเลือกระหว่างการคุกเข่าและการหย่าร้าง เสิ่มชูจึงเลือกการหย่าร้างไปโดยไม่ได้ลังเล เธอยังสาวยังสวยอยู่เช่นนี้ ทำไมจะต้องมาเสียเวลากับไอ้ผู้ชายคนนี้ด้วย!มิสู้กลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลจะดีกว่า
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"