ฟังแล้วก็เหมือนข้อแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แต่สำหรับนักเขียนหนุ่ม เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง เขาโลดแล่นอยู่ในวงการน้ำหมึกในหมวดนิยายอีโรติกมาร่วมสิบปีแล้ว เอ่ยชื่อนามปากกาไป ใครๆ ก็รู้จัก เขามีผลงานเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่สารพัดเรื่อง ถ้าให้นับจำนวนล่ะก็...เขาจำไม่ได้หรอก ไม่คิดจะจำด้วย เพราะมันเยอะเกินจะจำ
เอาง่ายๆ ก็คือเวลานี้เขาหมดแรงบันดาลใจอย่างรุนแรง เขายังไปล่าหาผู้หญิงมาเป็นคู่นอนชั่วข้ามคืนเพื่อเอาเธอเหล่านั้นมาเขียนเป็นนางเอกนิยายเรื่องใหม่ของเขาได้อยู่ แต่ไม่สามารถเขียนเรื่องใหม่ได้เลย ยิ่งบรรณาธิการให้โจทย์มาว่าให้เน้นเขียนเส้นเรื่องรักให้ชัดเจนกว่านี้ งานเขายิ่งไม่กระดิก
คนไม่เคยศรัทธาในความรักจะไปเขียนเรื่องรักๆ อย่างนั้นได้ไงกันเล่า!
เขียนให้ตัวละครได้เสียกันยังง่ายกว่าเขียนให้ตัวละครบอกรักกันอีก
เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นเขาไม่มาเน้นเขียนเรื่องอีโรติกที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางกายมากกว่าความสัมพันธ์ทางใจอย่างนี้หรอก ส่วนเหตุผลที่เขาไม่ศรัทธาในความรัก คงต้องนับย้อนไปตั้งแต่สมัยที่เขายังเด็ก แม่ของเขาถูกพ่อนอกใจบ่อยครั้ง เรียกได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลกัน หากมีโอกาส เมียน้อยของพ่อมักเข้ามาในชีวิตของเขากับแม่ตลอด จนวันหนึ่งแม่ทนไม่ไหว ลาจากโลกนี้ไปด้วยอัตวินิบากกรรม ส่วนเขาก็ระหกระเหินไปอยู่บ้านญาติคนนั้นทีคนนี้ที ไม่ได้เจอพ่อเลยหลังจากนั้น กระทั่งเริ่มเขียนนิยายเป็นการหารายได้จุนเจือตัวเองได้อย่างมั่นคงนั่นล่ะ เขาถึงได้ข่าวพ่ออีกทีว่าตายแล้วจากการหัวใจวาย...คาอกเมียน้อยคนที่...เท่าไรก็ไม่รู้
และเพราะหมดแรงบันดาล ทำงานไม่ได้มาเกือบเดือน เขาจึงมองหาสถานที่ใหม่ๆ ในการคิดงาน เผื่อว่าการเปลี่ยนที่ทำงานจะทำให้เขาสมองแล่นหรือได้ไอเดียอะไรดีๆ มากกว่าเดิม ประจวบเหมาะกับที่ ‘คาวี’ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยออกปากชวนไปเที่ยวบ้านสวนที่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน เขาจึงตอบตกลงไปโดยใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน
ความจริงจะว่าไม่นานก็ไม่ถูกนัก คาวีโทรมาชวนอยู่หลายครั้งหลายครา ปีขาลตอบปฏิเสธไปทุกครั้ง ทว่าในครั้งสุดท้ายที่ปฏิเสธ จู่ๆ คาวีก็บุกมาหาถึงที่บ้านเพื่อชวนไป พร้อมกับอ้างว่าปีขาลจะได้เปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานใหม่ ทำให้คนที่ตื้อตันอยู่ระยะหนึ่งตัดสินใจว่านานๆ ที เปลี่ยนสถานที่ทำงานบ้างก็ดี
เจ็ดวัน...กับการมาเยี่ยมบ้านของคาวี
ปีขาลไม่เข้าใจในตอนแรกว่าทำไมถึงต้องมาอยู่เจ็ดวัน คาวีจึงได้อธิบายให้ฟังว่านั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้กลับบ้านมานาน และเขาเองก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลในตอนนี้ที่ผู้ใหญ่ในบ้านหมายมั่นปั้นมือจะให้เขาสืบทอดมรดกทางจิตวิญญาณด้วยการเป็น ‘หมอธรรม’ ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่ในพิธีกรรมพิจารณาดูว่าเขาเหมาะสมกับการรับมรดกตกทอดจากผู้ใหญ่หรือไม่ โดยพิธีกรรมนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นเจ็ดวัน
‘แต่หมอธรรมของตระกูลกูไม่เหมือนกับหมอธรรมบ้านอื่นหรอกนะ มีลักษณะพิเศษกว่า’
คาวีอธิบายระหว่างขับรถมาที่บ้านเกิด ปีขาลพอจะรู้ว่าหมอธรรมคือหมอชาวบ้านที่รักษาอาการทางกายและทางใจให้กับพวกชาวบ้านที่เชื่อและศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็นของคนทางภาคอีสาน แต่ไอ้ความพิเศษของตระกูลคาวีนั้น ทำให้ปีขาลอดถามกลับไม่ได้
‘พิเศษกว่ายังไงวะ’
‘ก็...’ เว้นจังหวะไป พลันเหลือบไปมองเพื่อนที่นั่งกดโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตาย ‘ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก มึงเอาเวลาฟังกูเล่าไปคุยกับน้องๆ ของมึงเถอะ’
ปีขาลหัวเราะ ยังไม่ละสายตาขึ้นมาจากจอโทรศัพท์
อย่างที่เพื่อนเขาว่าแหละ เรื่องผู้หญิงของเขาน่าสนใจกว่าหมอธรรมอะไรนั่นจริงๆ แหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่นั่งพิมพ์พูดคุยเอาเป็นเอาตายกับผู้หญิงที่เขาอ่อยๆ อยู่อย่างนี้ รถเคลื่อนที่ไปอีกระยะ คาวีก็นึกอะไรออก
‘เออ กูลืมบอกมึงไว้อย่าง’
‘ว่า?’
‘ระหว่างเจ็ดวันที่กูจะต้องให้ผู้ใหญ่พิจารณาว่าเป็นหมอธรรมได้ไหม พวกญาติๆ จะมาอยู่ด้วย คนจะเต็มบ้านหน่อยนะ มึงโอเคไหม’
‘โอเคสิวะ ถ้าไม่โอเค ไม่มาหรอก’
ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่รู้ข้อมูลบ้านของคาวี เขาจะมาให้เสียเวลาทำไม
คาวีเหลือบมอง พร้อมกับพูดลอยๆ
‘งั้นก็ดี หวังว่ามึงจะได้ไอเดียอะไรไปเขียนงานมึงนะ’
ได้สิ! ได้แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง!