“ที่พูดนี่คิดรึยัง?!” พอพายุ Nightshade พูดมาแบบนั้น ฉันเลยพยักหน้าออกไปช้าๆ แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจในคำถามนั้นเหมือนกัน “คิดแล้ว...ฉันว่าแย่กว่าการเป็นผู้หญิงของนาย คือเคยรักนายแต่จำมันไม่ได้มากกว่า”
‘รอฉันนะ..นิลลา’
เคร้งงง~
อีกแล้วสินะ.. ครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เสียงของใครบางคนดังขึ้นในหัวฉันซ้ำๆ และตามมาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจ น้ำเสียง..ที่แสนจะคุ้นเคย ความรู้สึกบางอย่าง..ที่ดูเลือนรางแต่ก็ชัดเจนจนอธิบายไม่ถูก
“นิล..นิลลา เป็นไรรึเปล่าลูก?”
ฉันสลัดความคิดในหัวออกทันทีที่ถูกแม่เขย่าแขนเรียกสติ พอหันไปเห็นคิ้วสวยที่เริ่มขมวดเข้าหากันของแม่ และช้อนที่กระจัดกระจายอยู่ในจานข้าวก็ทำให้ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาว่าคงคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเหม่อลอยไปอีกแล้ว
“ปะ..เปล่าค่ะแม่ นิลสายแล้วขอตัวก่อนนะคะ”
เพราะรู้ว่าถ้าบอกไปน่าจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ฉันเลยแกล้งทำท่าดูนาฬิกาแล้วเปลี่ยนเรื่องไปเฉยๆ แต่แม่ก็ยังมองมาด้วยสีหน้าแอบเป็นกังวลอยู่ดี
“เดี๋ยวสินิล วันนี้ลูกดู…”
“นิลรักแม่นะคะ”
ฟรืดดด~
ฉันตัดบทด้วยการลุกจากโต๊ะกินข้าวไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ แล้วรีบคว้ากระเป๋าเดินออกจากคอนโดทันที ขืนอยู่ต่อก็คงไม่วายทำให้แม่คิดมากอีกเพราะตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุในวันที่ออกจากโรงเรียนประจำตอนเรียนจบ ม.ต้น ชีวิตของฉันมันค่อนข้างสับสนจากเดิมไปหมด บางทีรู้สึกเหมือนติดค้างอะไรกับใครเอาไว้แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ฉันเองก็ไม่รู้ต้องทำยังไงเหมือนกัน แล้วถ้าแม่รู้ว่าผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้นมันยังไม่หายสนิทคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ พนันได้เลย
ใช่.. ฉันเคยเกิดอุบัติเหตุ
รถตู้ของที่บ้านที่ไปรับฉันกลับจากโรงเรียนประจำเมื่อ 4 ปีก่อน ถูกชนเข้าอย่างแรงด้วยรถทัวร์คันใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นคือหัวของฉันกระแทกเข้ากับตัวรถจนสติดับวูบไปในทันที พอฟื้นขึ้นมาอีกทีฉันก็พบว่าตัวเองหลับไปนานอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ
ช่วงที่ฉันฟื้นบอกตามตรงว่าความทรงจำในโรงเรียนประจำของฉันมันเลือนรางมากจริงๆ จำได้ว่าเคยไปอยู่แต่ก็จำใครไม่ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่พ่อกับแม่ขอความร่วมมือคุณครูที่ดูแลฉัน ให้ลองทดสอบความจำด้วยการชวนเพื่อนๆ แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ฉันก็ค่อยๆ จำทุกคนได้ตามลำดับแม้จะยังไม่สนิทใจเท่าไหร่ก็ตาม มันเหมือนรู้ว่าคนนี้เคยเป็นเพื่อน แต่รายละเอียดเชิงลึกไม่ชัดเจน ไม่รู้จะมีใครเข้าใจฉันไหม เหอะๆ =_=^
และหลังจากที่การทดสอบความจำนั่นจบลง หมอก็ได้ข้อสรุปว่าฉันปกติดี แต่แปลก..ที่ฉันก็กลับรู้สึกว่ามีเสียงนิรนามดังขึ้นในหัวอยู่เรื่อยๆ มันไม่ใช่ทุกวัน แต่ก็มีมาบ่อยครั้งตลอดช่วงเรียน ม.ปลาย โดยไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงของใคร และนั่นมันชวนให้คิดได้ว่ามีบางอย่างที่อาจจะเลือนหายไปจากความทรงจำของฉัน ทั้งที่คิดว่าจำมันได้ทั้งหมดแล้วแท้ๆ
พอขับรถออกจากคอนโดมาได้ไม่นานฉันก็มาถึงมหาลัย ไม่รู้ทำไมถึงหยุดคิดเรื่องเสียงนั่นไม่ได้เลย ฉันเลยสะบัดหัวไปมาซ้ำๆ อยู่ในรถจนมึนไปหมด.. ตั้งสติหน่อยนิลลา! นี่เพิ่งเปิดเทอมวันแรกเองนะ ฟุ้งซ่านแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกันเล่า!
“นิลลาเพื่อนรักกกกกก~”
ทันทีที่ฉันก้าวขาลงจากรถ น้ำเสียงที่คุ้นเคยของเจด้าก็ดังขึ้นจนแสบแก้วหู แหงล่ะ..ก็ไอ้ด้ามันเล่นแหกปากลั่นจนคนแถวนี้หันมองเป็นตาเดียว
“คือถ้ามึงจะตะโกนขนาดนี้อ่ะนะ!”
ผลัวะ!
“ฮ่ะๆๆ เดี๋ยวดิ ยังใส่อยู่อีกหรอไอ้นี่อ่ะ”
ฉันหยิบกระเป๋าฟาดใส่มันเบาๆ ก่อนที่เราทั้งคู่จะขำออกมา แล้วไอ้ด้ามันก็ชี้มาที่สร้อยคอของฉันพร้อมกับถามออกมาอย่างสงสัย สร้อยที่ดีไซน์ธรรมดาๆ แต่โดดเด่นด้วยจี้เล็กๆ สีฟ้า รูปทรงค่อนข้างแปลก เงาวิบวับเหมือนเพชร แต่จิ๋วๆ แบบนี้ดูคล้ายเศษอัญมณีมากกว่าล่ะมั้ง
“ไม่รู้ดิ ก็ใส่แบบนี้ทุกวันไม่เคยถอด”
ฉันตอบกลับแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง ก็มันเป็นแบบนี้จริงๆ นี่นา เวลาเห็นตัวเองในกระจกทีไรก็มีสร้อยเส้นนี้อยู่ด้วยทุกที
“หรือว่าจริงๆ แล้วมึงเป็นทายาทธุรกิจเพชรพลอยเหมือนในซีรี่ย์ที่กูดู เผยตัวตนออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
อืมนะ.. เรื่องแอคติ้งเล่นใหญ่ตะกายดาวไว้ใจยัยนี่ได้เลย เจด้าชี้นิ้วมาที่ฉันแล้วส่งสายตาจับผิดแบบทีเล่นทีจริงออกมา ฉันเลยบ่นๆ กลับไป แต่ก็แอบขำในท่าทางของมันอยู่เหมือนกัน
“เลอะเทอะมึงอ่ะ ไม่เชื่อไปถามแม่ดิ อยู่ที่คอนโดนู่นอ่ะ”
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ แต่จะว่าไป..ฉันได้สร้อยเส้นนี้มายังไงก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันแฮะ -_-?
“อ้าว แม่มาเยี่ยมหรอ จะมาชวนไปงานประมูลเพชรรึเปล่าน้ารอบนี้~”
ป๊อก!
“งื้อออ >_< อย่าบอกนะว่าตัดชุดราตรีคอยแล้วอ่ะ!”
“เลิกเพ้อ! ไปเรียนได้แล้วไอ้บ้า”
ไอ้ด้ายังคงแซวฉันอยู่แบบนั้นไม่หยุด ฉันเลยเขกหัวมันเบาๆ ไปทีหนึ่งแล้วเดินหนี เรื่องติงต๊องขอให้บอกเถอะ ถึงบางเวลาบุคลิกมันจะดูนิ่งๆ ดุๆ แต่เบื้องหลังก็อย่างที่เห็นอ่ะนะ โคตรจะบ๊อง ฮ่ะๆ
อ้อ..ลืมบอกไปว่าเจด้ากับฉันสนิทกันตั้งแต่ช่วงเรียน ม.ปลาย เอาจริงๆ ทั้งชีวิต เพื่อนสนิทที่เหลืออยู่ก็มีแค่ยัยนี่คนเดียวแหละมั้ง ถึงจะรู้จักกันแค่ 3 ปีแต่เหมือนอยู่ด้วยกันมา 10 ปี รู้ไส้รู้พุงกันหมด เขาว่ากันว่าช่วงเรียน ม.ปลายเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดแล้วก็คงจะจริง
ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็อย่างที่บอกว่าฉันเคยอยู่โรงเรียนประจำ ฉันใช้เวลาช่วงวัยเด็กตั้งแต่ประถมจนถึง ม.ต้น อยู่ที่นั่นก็จริง แต่ตอนนี้ความทรงจำมันก็เลือนรางมากพอๆ กับจำนวนเพื่อนที่ค่อยๆ แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง แต่มีไอ้ด้าคนเดียวก็เหมือนมีเพื่อนสิบคนอ่ะ ถึงจะพูดมากไปหน่อยก็เถอะนะ แต่โคตรสบายใจเวลาอยู่ด้วย หรือเพราะฉันเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วด้วยก็ไม่รู้สิ
“เออมึง กดไลค์เพจสุดฮอต กับ IG ร้อนฉ่าของเด็ก ม. เรายัง? ไหนเอามือถือมาดูดิ๊”
นั่นไงไม่ทันขาดคำ.. แล้วฉันก็ปลดล็อคมือถือตัวเองส่งให้เจด้าอย่างว่าง่าย ยัยนี่มีความสามารถพิเศษจริงๆ นะ ตาจ้องมือถือกดนั่นกดนี่ไปเรื่อย แต่เดินไม่สะดุดบันไดหัวทิ่มเลยสักขั้น แถมตั้งแต่มันได้มือถือฉันไป หน้าฉันมันยังแทบไม่เงยขึ้นมามองเลยด้วยซ้ำ ส่วนปากก็พูดอะไรงุ้งงิ้งคนเดียวไม่หยุด
“อันนี้เพจหลัก ม. นี่เพจคนหล่อบอกต่อยาวๆ แล้วก็นี่เพจสาว HOT ขวัญใจหนุ่มหล่อพ่อรวย แล้วก็...”
“มึง จองที่ให้หน่อยนะ กูไปห้องน้ำแป๊บ”
ฉันหันไปบอกไอ้ด้าก่อนจะเดินเลี่ยงตรงมาทางห้องน้ำเลย ไอ้ด้ามันก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง จริงๆ ก็ไม่ได้ปวดมากหรอกแต่ทำธุระให้เสร็จๆ ไป ก็ยังดีกว่าต้องเดินเข้าเดินออกตอนอาจารย์สอนแหละนะมันเสียสมาธิ
- ปิดปรับปรุงชั่วคราว –
เอิ่ม -_-? พอเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ฉันก็หยุดมองป้ายตั้งเตือนตรงหน้าแบบเอือมๆ ปิดปรับปรุงห้องน้ำเนี่ยนะเอาจริงดิ? ถามจริงใครคิดเนี่ย?! เขามีแต่ Facility ครบครันในวันเปิดเทอมแต่นี่ฉีกกฎด้วยประการทั้งปวง มหาลัยประหลาด!
‘อ๊ะ อ๊าาา อื้อ รุ่นพี่’
‘อืมมม’
พั่บ พั่บ พั่บ~
‘อ๊าาา อื้อ รุ่นพี่ รุ่นพี่พะ พายุคะ อ๊าาา’
พลั่กกก ตึงงง!
‘หุบปาก! กล้าดียังไงมาเรียกชื่อฉัน!’
‘คะ..คือฉัน คือ..’
‘ไสหัวไปซะ!’
‘ตะ..แต่’
‘บอกให้ออกไป!!!’
What?! อย่าบอกนะ O_O?!
แล้วจังหวะที่ฉันกำลังจะเดินกลับ ก็มีน้ำเสียงวาบหวามดังออกมาจากในห้องน้ำหญิงทำให้ฉันเลือกจะหยุดอยู่หน้าประตูห้องน้ำนี้แทนที่จะหมุนตัวกลับไปเข้าเรียน ก็ไม่ได้อยากจะเผือกเรื่องของคนอื่นนักหรอกนะแต่การใช้ห้องน้ำมหาลัยทำเรื่องอย่างว่าแบบโจ่งแจ้งขนาดนี้มันใช้ได้ซะที่ไหนกัน ถ้ามันไม่ไหวทำไมไม่ไปทำกันที่อื่นจะมาเรียนหาสวรรค์วิมานอะไรกันวะเนี่ย?!
แกร๊ก แอ๊ดดด~
ฉันกำลังจะพุ่งตัวเข้าไปฉะพวกคนไม่มีหัวคิดในห้องน้ำ แต่คนข้างในดันเปิดประตูออกมาซะก่อน ผู้หญิงหน้าตาจัดว่าดีแต่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยหัวกระเซิงคนหนึ่งกำลังหัวเสียและดูตกใจพอสมควรที่เจอฉัน ฟังจากเมื่อกี๊ก็พอจะเดาออกว่ายัยนี่คงอายไม่น้อยเลยแหละที่โดนไล่ออกมา
“ธะ..เธอ บ้าเอ๊ย!”
พอผู้หญิงคนนั้นเห็นฉันก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก รีบจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทางแล้ววิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามองฉันสักนิด เรียกว่าใส่ตีนผีวิ่งหนีไปเลยก็ว่าได้ ฉันเลยละสายตาจากผู้หญิงคนนั้นและไม่ลังเลที่จะผลักประตูเข้าไปเพื่อฉะคนไม่รู้กาลเทศะอีกคนที่ยังอยู่ในห้องน้ำทันที
แล้วพอประตูเปิดออกก็เจอผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งยืนหันหน้าเข้ากับผนังด้วยท่าทีนิ่งเฉย แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากพูดอะไรออกไป ก็มีควันบุหรี่จางๆ ลอยขึ้นมาต่อหน้าต่อตา ฉันเลยได้แต่ยืนอึ้งอย่างทำตัวไม่ถูก O[]O!
ควันบุหรี่ลอยขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า.. หมอนี่สูบบุหรี่ในห้องน้ำที่ยังไม่เปิดหน้าต่างระบายอากาศงั้นหรอ?! พอคิดได้แบบนั้นสัญชาตญาณของฉันก็สั่งให้ถอยหลังหนีทันทีแบบไม่ต้องคิด แต่ไม่ทันที่ฉันจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ อาการแพ้ควันบุหรี่อย่างรุนแรงก็ทำให้ฉันสำลักออกมาทันที
“แค่กๆ ๆ ๆ ฮึก...”
ทั้งที่มือฉันคว้าลูกบิดประตูได้แล้วแท้ๆ แต่ร่างกายฉันดันหมดแรงไปดื้อๆ มึนหัว อยากจะอาเจียนขึ้นมาแบบฉับพลัน ยิ่งเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ฉันยิ่งรู้ดีว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก
“จิ๊ อะไรนักหนาวะ บอกให้ออกไป!”
ผู้ชายคนนั้นตวาดออกมาดังลั่นเพราะคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่เขาเพิ่งมีซัมติงด้วยเมื่อกี๊ แค่กๆ โธ่เอ๊ย! ขืนเป็นแบบนี้ฉันได้ตายกันพอดี ถ้าจะมีใครช่วยได้คงมีแต่หมอนี่คนเดียว แต่เขาไม่หันมาชายตามองฉันสักนิดเลยไง
“แค่กๆ ๆ นะ..นาย ช่วย..ด้วย”
พรึ่บบบ!
สิ้นสุดประโยคของฉัน เหมือนแอบเห็นรางๆ ว่าผู้ชายคนนั้นหันกลับมาซึ่งเป็นจังหวะที่ร่างของฉันทรุดฮวบลงกับพื้นพอดี แล้วสติของฉันก็ดับวูบไปทันตาโดยไม่ทันได้เห็นหน้าเขาชัดๆ เลยด้วยซ้ำ...
ฉัน...สาวน้อยดาวเสาร์กับเรื่องวุ่นๆของ "เทพบุตรดาวพุธ" ผู้ชายถืออาวุธที่แม่หมอทำนายว่าเป็น "เนื้อคู่" ในใจก็คิดมาตลอดเลยนะว่าต้องเป็นคนในเครื่องแบบแน่ๆ แต่แล้วอยู่ๆดันหลงเข้าไปในดงมาเฟียได้ไงไม่รู้...
เพราะมีหน้าที่สำคัญต้องทำ แต่ก็โดนรุ่นน้องจอมป่วนอย่างเลโอ Nightshade มาวุ่นวาย ตามจีบไม่เว้นแต่ละวัน "ทฤษฎี 21 วัน" เลยถูกใช้เป็นไม้ตายเด็ดของฉัน คิดว่ามันจะกันคนกะล่อนอย่างหมอนี่ให้พ้นทางได้มั้ย?!
“เป็นอย่างที่เคยเป็นมันดีแล้ว” ประโยคปฎิเสธสั้นๆ ดังก้องในหัวฉันตลอดเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายที่บินกลับมาตามคำสั่งที่เจ้าตัวน่าจะลืมมันไป แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนึง คนที่เคยปฏิเสธ..จะเป็นฝ่ายมาขอคบกับฉันซะเอง!
ใช้ชีวิตสงบสุขมาได้ตั้งนาน แต่กลับต้องมาอึมครึมเพราะดันไปมีเอี่ยวกับสมาชิกแก๊งค์เทพเจ้าประจำมหาลัย แถมไอ้บ้านั่นยังพ่วงตำแหน่ง "ว่าที่ผู้นำแก๊งค์มาเฟีย" ที่กำลังโดนตามล่าด้วยไง เหอะๆ แบบนี้ฉันจะมีชีวิตรอดต่อไปมั้ยให้ทาย?
แอบหื่นไปมั้ยถ้าจะบอกว่าวันเกิดปีนี้ ของขวัญอย่างเดียวที่ฉันอยากได้คือจูบที่แสนเต็มใจจากเขา... ♥ รุ่นพี่รันเวย์ของฉัน ♥ แล้วใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะจัดให้ตามนั้น แถมยังไม่ใช่แค่จูบ! ฉันได้รุ่นพี่ตัวเป็นๆเข้ามาอยู่ในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นมันบ้ามากที่จะบอกว่าอยู่ๆฉันก็ได้เป็นผู้หญิงของเขาด้วย!
ก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาพาฉันมาเจอกับอะไร... ทำไมอยู่ๆชีวิตฉันถึงต้องมาข้องเกี่ยวกับพวกคนรวยที่เป็นถึงทายาทมหาวิทยาลัยชื่อดังสองแห่งอย่าง Destinesia และ Vania ที่กำลังมีเรื่องบาดหมางจนแทบจะฆ่ากัน มิหนำซ้ำตัวฉันเองและใครบางคนในความทรงจำที่ฉันกำลังตามหา ก็ดันเป็นสาเหตุหลักของปัญหาที่ว่า ปัญหา...ที่ต้องแลกด้วยชีวิต ความสูญเสีย...ที่ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองก็มีส่วนในเรื่องนี้
หลิวซือซือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยหยดย้อยแล้ว แทบจะไม่มีความสามารถหรือความโดดเด่นในเรื่องอื่น และหากจะว่ากันไปหญิงสาวก็เป็นคนที่ค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย เพราะได้รับการรับเลี้ยงประดุจไข่ในหินจากผู้เป็นพ่อและแม่ที่มีฐานะไม่ธรรมดา เธอรักในอาชีพนักแสดงแม้พ่อแม่จะคัดค้านแต่สุดท้ายก็ตามใจเธอเพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียใจ อยู่มาวันหนึ่งด้วยบทบาทที่ต้องแสดงในซีรีส์ย้อนยุค ทำให้พ่อของเธอหาขลุ่ยโบราณเล่มหนึ่งมาให้ ตั้งแต่ได้รับขลุ่ยมาหลิวซือซือก็มักฝันประหลาด ว่าเธอได้พบผู้ชายคนหนึ่งในเขาเป็นแม่ทัพอยู่ระหว่างสงครามอีกทั้งตนเองยังมีโอกาสช่วยเขาหลายครั้ง ที่น่าประหลาดใจคือ ฝันนั้นของเธอเหมือนจะเป็นความจริงไปแล้ว เขาคือใครและเกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหตุใด ทำไมเธอจึงมักฝันประหลาดเช่นนี้???
เรื่องราวการผจญภัยของอดีตสายลับนักฆ่า ที่ทะลุมิติมาเป็นแม่ผู้ชั่วร้าย ทั้งยังต้องร่วมเดินทางกับเด็กน้อยผู้แสนใสซื่อในโลกที่ผู้คนใช้พลังลมปราณ อันตรายมีทั่วทุกหนแห่ง แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?!
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"