‘หวังเฟย’ คาดว่านางไม่กล้าเสนอหน้ามารบกวนจิตใจเขาอีกเป็นแน่ หลังจากที่เขารังแกนางเพราะความเมา กลับคาดการณ์ผิดพลาดไป เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าบนพื้นไม้ การเยื้องย่างด้วยความดังไม่เท่ากันของนางไม่เหมือนผู้ใด
“ท่านอา กลับมาแล้วหรือ?” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วดังมาแต่ไกล ร่างบอบบางในเสื้อผ้าชำรุดมีรอยปะชุน ของเหลือใช้จากท่านอาหญิง นางมาเย็บปักมันเสียใหม่ให้ดูสวยงามเข้ากับใบหน้าอ่อนหวาน ปิ่นประดับมุกบนเกล้าผมดำขลับแลดูมีราคาอย่างสตรีสามัญชนในแคว้นเล็ก ๆ หากก็เป็นแคว้นที่เฟื่องฟู
‘เจียลี่’ ไม่ให้ใครมาเอ่ยคำสั่งสอนนางได้ว่าเป็นบุตรสาวพ่อค้าขายผ้า จำต้องแต่งตัวอย่างไร ถึงนางจะเป็นคนติดดิน อย่างน้อยก็เทียมหน้าเทียมตาบุตรสาวผู้อื่นในเมือง
“ไยเจ้ายังอยู่อีก?”
“ท่านอาเคยให้ความช่วยเหลือครอบครัวข้า ท่านเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ตั้งหลายครั้ง บุญคุณย่อมต้องทดแทน” นางเดินกระย่องกระแย่ง ยกถังไม้ใส่น้ำมาวางไว้ข้างตั่งนอน ท่านอากระแทกก้นนั่งลงบนฟูก มองนางอย่างไม่ใคร่พอใจราวกับว่านางเป็นเครื่องเรือนเกะกะในห้องของเขา มือยกไหเหล้ากระดกเอา ๆ
ข้าวหมักกลิ่นหอมฟุ้งไหลลงเปรอะเปื้อนเต็มหนวดเคราครึ้มแซมเทา ด้วยอายุวัยสามสิบห้าปี กระทั่งอาภรณ์ขาวสะอาดบริเวณช่วงหน้าอกเปียกปอน มือหนากระแทกไหเหล้าลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างตั่งนอน
“จะอยู่เช็ดอ้วกข้าก็เชิญ!”
“ข้าเช็ดได้ ข้าไม่ใช่คนเกี่ยงงาน ข้าเช็ดมาหลายวันแล้ว” นางกระตือรือร้นดูแลท่านอาขี้เมา ที่ใดเขาทำสุราหกเรี่ยราด นางหยิบผ้าขี้ริ้วไปเช็ดจนสะอาด นางลุกขึ้นไปเก็บเสื้อผ้ากระจัดกระจายบนพื้น นำออกไปใส่ถังไม้อีกใบหนึ่งใกล้กับแหล่งน้ำ เพื่อที่นางจะนำไปซักในคราวหน้า
ในมือเรียวมีถังไม้ที่เติมน้ำจนเต็มวางเรียงไว้ด้านข้างเรือน อีกสองไว้ในห้องไว้สำหรับทำความสะอาด บ่าวรับใช้คนสุดท้ายตักน้ำใส่ถังเรียงเป็นแถวชิดกำแพงไว้แล้วหนีไป นางจดจำสิ่งที่พวกเขาเคยทำ ก่อนมารับหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้ท่านอาหวังเฟย ต่อจากพวกเขาเป็นการชั่วคราว
“อาหญิงเจ้าล่ะ ไปกับคุณชายสามหรือ?”
“ข้าจะไปรู้ไหมเล่า”
“เจ้ารู้”
“ข้าไม่รู้ ขออภัยด้วยท่านอา”
เจียลี่ไม่คิดทำร้ายน้ำใจอดีตท่านอาเขย หากไม่เป็นเพราะนางถูกกดดันด้วยกลิ่นข้าวฟ่างแดงหมักจากเรือนร่างกำยำเหนือเรือนผมของนาง อาจทำให้นางเมามายไปด้วยกับเขา
นางกลอกตาไปมาลอบมองกรามแกร่ง นัยน์ตาลุ่มลึกแลดูก้าวร้าวดุดัน เป็นอันตรายต่อสตรียิ่งนัก ขณะใบหน้าหล่อเหลาก้มลงต่ำ จนนางแทบจะฟุบหน้าลงบนพื้น
“เจ้ารู้ บอกข้ามา มิฉะนั้นเจ้าไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”
“คือข้า...”
“ข้าไม่ชอบรับบุญคุณจากใคร โดยเฉพาะสตรีร่างบอบบางเยี่ยงเจ้า ไม่จำเป็นมากนัก แค่บ่าวรับใช้ไม่กี่คน ข้าจ้างเอาใหม่ได้มากมายถมถืดไป”
“นาง... เอ่อ... ขึ้นเกี้ยวขุนนางไปตั้งแต่รุ่งฟ้าสาง ไม่ได้อยู่ช่วยท่านแม่ขายผ้า”
“อ้อ... เป็นอย่างที่ข้าคิด”
ใบหน้าแดงก่ำส่ายมองไปทางหน้าต่างที่เปิดอ้ากว้าง มือคว้าไหสุราขึ้นยกดื่มจนหกเลอะเทอะ เจียลี่ก้มลงเช็ดน้ำที่เจิ่งนองไปทั่ว หยิบผ้าขี้ริ้วผืนใหม่มาจัดการมันอีกรอบ ไม่ให้ท่านอาขี้เมากลิ้งล้มอย่างคืนก่อนนั้น เขาเกือบเผากระท่อมไม้หลังนี้ตายไปกับไหสุรา ซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยจะทำอันตรายเขาได้
“เมื่อไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ สตรีย่อมลาจาก”
“ท่านก็รู้นี่ ทำไมถึงไม่เลิกร่ำสุราเสียที”
“มันเรื่องของข้า”
เจียลี่รีบทำงานของตนไม่ถกเถียงกับท่านอาขี้เมาให้มากเรื่อง นางรู้ตนดีว่าเถียงไปก็ไม่ชนะเขาหรอก นี่ขนาดว่าเขาเมามาย นั่งตาขวาง กลับมีสติกลั่นกรองคำพูดจาเลวร้ายผ่านริมฝีปากอาบยาพิษ ด่าทอต่อว่านางสารพัดได้
บอกไปใครเล่าจะเชื่อ นางได้มาเป็นสาวรับใช้ท่านอาผู้เคยเป็นว่าที่เขยของบ้าน หากท่านอาหญิงของนางไม่ยกเลิกกำหนดการงานมงคลไปหมั้นหมายกับผู้มีฐานะมากกว่า ส่วนเรื่องบุญคุณผู้ช่วยชีวิตยังเป็นอีกประเด็นสำคัญ
“ข้าเสร็จงานของข้าแล้ว ที่เหลือข้าจะกลับมาจัดการในวันพรุ่งนี้ ข้าลาเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยว...” เสียงเข้มรั้งนาง เมื่อนางประสานมือ ก้มศีรษะคารวะ ด้วยความเคารพ นางเงยหน้าขึ้นคล้ายว่าจะถาม ท่านอาแย่งนางถามเสียก่อน
“เจ้าจะกลับเลยหรือ เจ้ากลับยังไง?”
“ข้าเดินเลาะป่าด้านหลังเรือนท่านไปก็ถึงบ้านข้าแล้ว ใช้เวลาไม่นานในการเดินเท้า”
“เป็นสาวเป็นแซ่ เดินทางกลางค่ำกลางคืน มิกลัวสิงสาราสัตว์ก็ควรจะหวาดกลัวชายโฉดโจรป่ามาทำมิดีมิร้ายเจ้าบ้าง”
“ที่พักอาศัยละแวกนี้ไม่มีผู้ใดผ่านมา แม้แต่แมวสักตัวข้าก็ไม่เคยเห็น ข้าสำรวจแล้วว่าปลอดภัย ถ้าจะมีอันตราย คงเป็นชายขี้เมาตาขวาง ข้าว่าน่ากลัว...”
“เจ้ากลัว... ทำไมเจ้าจึงมา?”