แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆสายฟ้าเส้นใหญ่ก็ผ่าเปรี้ยงลงมาที่ร่างวิญญาณของหลินเสี่ยวอวี่
....
ในขณะเดียวกัน ณ ห้องเล็กๆภายในบ้านตระกูลหลิน
"เสี่ยวอวี่เอ้ย อย่าโทษย่าเลยนะ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่แกมันเกิดมาโชคร้ายเอง ดันถูกคนของตระกูลลู่หมายตาเลือกให้ไปเป็นเจ้าสาวของคนตาย"
"พวกเขาถึงกับยอมจ่ายเงินก้อนโต เพื่อขอแกไปเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้กับคนที่ตายไป"
"ความจริงแกก็น่าจะตายๆไปซะตั้งแต่ตอนที่ตกเขานั่นแล้ว จะทำตัวเองให้ต้องลำบากไปทำไมตั้งสองครั้งสองคราแบบนี้?"
ผู้เป็นย่าของหลินเสี่ยวอวี่รำพึงรำพันผ่านน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องธรรมดาทั่วไป ทว่าน้ำเสียงในคำพูดเหล่านั้น กลับแฝงซ่อนไปด้วยไอความเย็นชาและไร้ความเมตตา...
"ฉันจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้แกเยอะๆก็แล้วกัน ตายๆไปอย่างสงบซะเถอะนะ"
เสียงพูดพึมพำอยู่ข้างหูมาพร้อมกับฝ่ามือแห้งกร้านและหยาบกระด้าง ที่กำลังกดปิดช่องจมูกและปากของหลินเสี่ยวอวี่ไว้อย่างแน่นหนาที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่งงานกับคนตาย?
หน้าผา?
นี่ฉันกลับชาติมาเกิดเหรอ?
ฉันย้อนกลับมาในปีที่ฉันอายุหกขวบอีกครั้งจริงๆ!
ย้อนกลับไปในปีที่หลินเสี่ยวอวี่มีอายุได้หกขวบ เธอถูกลุงของเธอผลักตกหน้าผาหวังฆ่าทิ้งอย่างโหดเหี้ยม
ทั้งหมดนี้หวังเพียงเพื่อให้ตระกูลลู่ทำตามสัญญาที่เคยตกปากรับคำกันไว้ ว่าจะช่วยผลักดันสนับสนุนให้หลินเจ๋อ บุตรชายคนโตและเป็นหลานชายสายตรงของตระกูลหลิน ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเกษตรกรรมและแรงงาน โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าให้หลินเสี่ยวอวี่ซึ่งยังเป็นเพียงเด็กน้อย เข้าร่วมพิธีแต่งงานกับลูกชายคนเล็กของตระกูลลู่ในปรโลก
เพื่อผลประโยชน์อันมหาศาลในจุดนี้ หลินเสี่ยวอวี่จึงต้องกลายมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้แก่คนตระกูลหลินเพื่อใช้ไต่เต้าขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต
บางทีอาจเป็นเพราะจิตใจที่ไม่ยอมพ่ายแพ้หลังความตายของหลินเสี่ยวอวี่ วิญญาณของเธอจึงไม่ยอมแตกสลายไป แต่กลับวนเวียนเฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในตระกูลหลินมาตลอดหลายสิบปี
เธอต้องทนเห็นแม่แท้ๆของตัวเองถูกผู้ชายสารเลวหลอกลวงจนเสียใจแทบแดดิ้น กระทั่งหลายปีต่อมา แม่ก็ถูกทุกคนในตระกูลรุมกดดันให้ตั้งท้องลูกคนที่สี่ และสุดท้ายเป็นเพราะทารกในครรภ์ซุกตัวอยู่ในตำแหน่งท่าที่ผิดปกติ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีใครในครอบครัวยอมพาเธอไปโรงพยาบาลเลยแม้แต่คนเดียว ผลสุดท้ายทำให้แม่ของเธอต้องเสียชีวิตลงท่ามกลางความทรมานสุดแสนจากภาวะคลอดบุตรยาก
ส่วนพี่สาวคนโตของเธอ หญิงสาวที่กำลังอยู่ในวัยสะพรั่งดุจดอกไม้แรกแย้ม กลับถูกลุงจับส่งตัวไปแต่งงานกับชายชราอายุ 50 ปีผู้มีอาการทางจิตรุนแรง เธอจำต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายร่างกายอยู่นานหลายปี และบทสรุปสุดท้ายก็เลือกจบชีวิตลงด้วยการกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
ส่วนพี่สาวคนรองนั้น เป็นเด็กฉลาดหลักแหลมเกินวัย อาศัยความพยายามและขยันหมั่นเพียรของตัวเองจนสอบติดมหาวิทยาลัยได้ แต่กลับถูกอาคนเล็กสวมชื่อตัวเองเพื่อเข้าเรียนแทน ต่อมาเมื่อครอบครัวกลัวว่า พี่สาวคนรองจะแอบหนีออกไปเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาจึงพยายามทำทุกวิถีทาง ยอมแม้กระทั่งทำเรื่องโหดร้ายทารุณที่สุดถึงขั้นทุบตีจนขาของเธอหักข้างหนึ่ง และท้ายสุด ชะตากรรมมิได้ดีกว่าคนอื่นๆนัก เธอถูกครอบครัวบังคับให้แต่งงานกับชายโสดอายุมากคนหนึ่งในหมู่บ้านไป
ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จได้ดิบได้ดีกลับเป็นลุงสันดานชั่วของเธอเอง นับวันตำแหน่งหน้าที่การงานของเขามีแต่จะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ สร้างเกียรติประวัติมากมายให้ผู้คนได้ชื่นชมสรรเสริญ และเกษียณอายุออกมาอย่างสง่างามยิ่งใหญ่ กลายเป็นต้นแบบให้ทุกคนในหมู่บ้านทั้งรู้สึกเคารพและอิจฉาในคราวเดียวกัน
พ่อสารเลวของเธอเองก็พาเมียน้อยที่แอบลักลอบคบชู้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขพร้อมกับลูกชายที่เกิดจากเมียน้อยคนนั้น กลายเป็นครอบครัวอบอุ่นที่ทั้งสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติในสายตาของคนภายนอก
ทางด้านอาสาวที่เป็นน้องสาวคนสุดท้องของพ่อ ก็อาศัยชื่อเสียงจากการเป็น ‘บัณฑิต’ ที่แย่งชิงมาจากพี่สาวคนรองของหลินเสี่ยวอวี่ เรียนจนจบระดับมหาวิทยาลัย สร้างฐานะความมั่นคงและหน้าตาทางสังคมให้กับตัวเอง กลายมาเป็นบุคคลที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับตระกูลในสายตาของชาวบ้าน
เมื่อพูดถึงตระกูลหลิน ใครต่อใครต่างต้องยกนิ้วชื่นชมกันถ้วนหน้า ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตระกูลหลินนั้น ‘โชคดีถึงขั้นบรรพบุรุษยังต้องลุกขึ้นจากหลุมเพื่อมาอวยพร’ กันเลยทีเดียว
แต่สำหรับหลินเสี่ยวอวี่ในตอนนี้ เธอได้พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่เด็กหญิงในวัยเพียงแค่ 6 ขวบ จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปต่อต้านผู้เป็นย่าที่ทำงานในไร่ในสวนจนมีร่างกายกำยำแข็งแรงได้ ร่างของเธอถูกกดบังคับไว้แน่น ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ขยับตัวเลยด้วยซ้ำไป...
[งานแต่งงานในปรโลกน่ะเหรอ? อยากแต่งก็ไปแต่งเองสิ! ในเมื่อฉันได้เกิดใหม่ทั้งที ก็ต้องเป็นฉันนี่แหละที่จะส่งพวกแกไปปรโลกให้หมด!]
[แม่…ช่วยหนูด้วย…]
[แม่…รีบมาช่วยหนูเร็วเข้า…]
เสียงร้องของลูกสาวคนเล็กดังแว่วอยู่ข้างหู ทำให้จางอวิ๋นม่านที่กำลังเศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด ถึงกับต้องเบิกตากว้างในทันที
เสี่ยวอวี่? เสี่ยวอวี่ของแม่? จางอวิ๋นม่านรีบผลักลูกสาวอีกสองคนที่กำลังปลอบโยนเธอออกไปทันที ก่อนจะก้าวเท้าพุ่งตรงไปที่ห้องเก็บฟืนอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลากลางวันแสกๆ แต่ประตูห้องเก็บฟืนกลับถูกปิดสนิทเช่นนี้ จางอวิ๋นม่านก็สัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่างที่ผุดขึ้นภายในใจ
"เปิดประตู! รีบเปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้!" จางอวิ๋นม่านร้องตะโกนเสียงดังพลางทุบประตูไปด้วยอย่างบ้าคลั่ง เวลานี้เธอไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่กำลังคลุ้มคลั่งเพราะต้องการปกป้องลูกของตัวเอง
เมื่อเห็นจางอวิ๋นม่านที่อยู่ข้างนอกเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเพราะกลัวว่าความวุ่นวายจะบานปลายใหญ่โตไปมากกว่านี้ โจวซื่อที่อยู่ในห้องเก็บฟืนจึงต้องปล่อยมือออกจากปากและจมูกของหลินเสี่ยวอวี่
"นังลูกสะใภ้ไม่เอาไหน นี่แกแหกปากร้องตะโกนหาอะไรกัน! ฉันอุตส่าห์หวังดีช่วยจัดการนังเด็กนี่ให้ มันจะได้ตายๆไปอย่างสงบซะที แล้วแกยังจะเอะอะโวยวายอะไรอีก!" โจวซื่อที่รู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่ก็ยังทำตัวเป็นฝ่ายโจมตีกล่าวโทษอีกฝ่ายก่อน เธอขึ้นเสียงก่นด่าออกมาด้วยความเดือดดาล ทั้งนี้เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดของตัวเอง
【แม่จ๋า! ถ้าแม่มาช้าอีกนิดเดียว หนูคงถูกปิดปากปิดจมูกจนขาดอากาศหายใจตายไปแล้วแน่ๆ! หนูยังไม่ตาย หนูยังมีมีชีวิตอยู่!】
อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นจริงๆ หลินเสี่ยวอวี่ก็เกือบจะกลายเป็นศพต้องตายเป็นครั้งที่สองแล้ว
จางอวิ๋นม่านรีบผลักร่างของโจวซื่อออกไปทันที ก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปอุ้มลูกสาวตัวน้อยที่นอนหมดสติไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าซีดเขียวใกล้ม่วงของเด็กน้อย ปรากฏรอยนิ้วทั้งห้าประทับทิ้งไว้อย่างชัดเจน ร่างทั้งร่างของเธอสั่นเทาไม่หยุด ภายในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวประหนึ่งวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
ถ้าช้าไปอีกนิด... ถ้าช้าไปอีกแค่นิดเดียว…
เพียงแค่คิดถึงเรื่องนั้น จางอวิ๋นม่านก็รู้สึกราวกับถูกจับโยนลงไปในธารน้ำแข็งท่ามกลางฤดูหนาว เธอรู้สึกเย็นยะเยือกเจ็บลึกถึงขั้วกระดูกดำเลยทีเดียว