เป้าหมายของเธอคือทำให้เขารัก และเสียดาย
เป้าหมายของเธอคือทำให้เขารัก และเสียดาย
บทนำ
“หมั้นกับหนูหมอนได้ไหม”
หญิงชราวัยหกสิบเจ็ดพูดกับหลานชายวัยยี่สิบสามปีที่นั่งจับมือด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ด้วยอายุที่มากขึ้นจึงอยากที่จะเห็นสิ่งที่ตัวเองหวังไว้สมดังที่ใจปรารถนาก่อนที่จะลาจากโลกนี้ไป
“เด็กนั่นเพิ่งอายุสิบห้านะครับ”
ชายหนุ่มหน้าหล่อพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เมื่อคิดถึงหน้าเด็กสาวที่แค่ชื่อก็สามารถทำให้พะอืดพะอมได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหน้าตาเพราะมันแย่ยิ่งกว่าชื่อเสียอีก
“ย่าถึงขอให้หมั้นไว้ก่อน ไว้หนูหมอนเรียนจบค่อยแต่งงานกัน”
“แค่ชื่อก็ไม่น่าหมั้นด้วยแล้ว ผู้หญิงอะไรชื่อหมอนทอง” ชายหนุ่มแย้งเสียงเข้ม เขาเคยเจอคนที่ย่าอยากให้หมั้นด้วยมาตั้งแต่เด็ก และแน่นอนว่าไม่ชอบเด็กสาวคนนั้น
หมอนทองเป็นผู้หญิงที่แสนจะอัปลักษณ์ หุ่นเหมือนตุ่มต่อขา แถมหน้าตายังเหลอหลาไม่น่ารักใส่แว่นหนาเตอะไม่ชวนมอง เวลาคุยด้วยถามอะไรก็ตอบไม่ฉะฉาน ตะกุกตะกัก ดูกี่ทีก็ขัดหูขัดตา ไม่รู้ว่าทำไมยายเด็กอัปลักษณ์นั่นถึงได้ถูกอกถูกใจคุณย่านัก
“ย่ากับยายของหนูหมอนเป็นเพื่อนรักกัน เราอยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกันและอยากจะรวมสวนทุเรียนของเราทั้งคู่ไว้ จริงๆ เรื่องนี้คุยกันมานานแล้ว หลานช่วยทำให้ความหวังของย่าเป็นจริงสักครั้งได้ไหม” หญิงชราพูดจบก็ไอออกมาติดๆ กันหลายครั้งจนคนฟังตกใจ
“แต่...”
“หมั้นกับหนูหมอนได้ไหมถือว่าเห็นแก่ย่า ตั้งแต่หลานเกิดมาย่ามีแต่จะให้กับให้เท่านั้น เรื่องนี้ย่าขอ ทำเพื่อย่าสักครั้ง แล้วย่าจะไม่ขออะไรอีกเลย” หญิงชราทำท่าอ่อนแรงเพื่อขอความเห็นใจ
“คุณย่า” ชายหนุ่มสบตาคนขอนิ่งอยู่พักใหญ่แล้วเอ่ยออกมาว่า
“ครับ”
เด็กสาววัยสิบห้าผิวขาวเหลืองสวมแว่นตาทรงกลมหนาเสียจนไม่น่ามอง รูปร่างอวบอ้วนกำลังเดินตรงเข้ามานั่งพับเพียบลงข้างๆ ทำให้ชายหนุ่มผู้แสนจะหล่อเหลาต้องเบือนหน้าหนีอย่างเสียมิได้ ซูเปอร์สตาร์อย่างเขาจะต้องมาหมั้นกับยายอัปลักษณ์คนนี้จริงๆ หรือ ปราชญ์ได้แต่คิดในใจ ใครจะไปคิดว่าคุณย่าจะเอาจริง แถมพอตกลงแล้วก็โทรศัพท์บอกเพื่อนรักทันที ผลก็คือเขาต้องหมั้นกับแม่คนนี้ในวันรุ่งขึ้น
ทันทีที่แหวนทองเกลี้ยงถูกสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายที่แสนจะกลมป้อมเรียบร้อย หญิงชราทั้งสองก็ส่งยิ้มให้กันด้วยความพอใจ ทีนี้ก็เหลือเพียงแค่รอให้แม่สาวนามหมอนทองเรียนจบ ก็จะรีบจัดการให้เป็นทองแผ่นเดียวกันไปเสียเลย
หมอนทองนั่งมองแหวนหมั้นแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น เธอแอบชอบปราชญ์มาตั้งแต่จำความได้ เขาเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างไว้ตัวไปเสียหน่อย แต่ก็เป็นชายในฝันอยู่ดี
ยิ่งตอนนี้กำลังก้าวเข้ามาเป็นพระเอกแถวหน้าของวงการโทรทัศน์ด้วยแล้วยิ่งน่าหลงใหลมากขึ้น การที่ได้หมั้นหมายกันเช่นนี้สร้างความรื่นรมย์ให้เด็กสาวเสียเหลือเกิน
12 ปีต่อมา
“ธิดาทุเรียนชะนีปีนี้ได้แก่ หมายเลข 10 ครับ นางสาวหมอนทอง สุนทรนิเวศ สวนทุเรียนคุณนายก้านยาวเป็นผู้ส่งเข้าประกวด”
สิ้นเสียงของผู้ประกาศ หญิงสาวร่างระหงที่สวมชุดไทยจักรพรรดิสีชมพูทอง ใบหน้าสวยหวานราวกับนางในวรรณคดีก็ก้าวออกมาจากกลุ่มเพื่อนนางงามด้วยท่าทางที่สง่างามราวกับนางพญา
“ดูสิครับเธอสวยงามดังคำชมที่ว่า
พักตร์น้องละอองนวลเปล่งปลั่ง ดังดวงจันทร์วันเพ็ญประไพศรี
อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์ ดังกินรีลงสรงคงคาลัย
งามจริงพริ้งพร้องทั้งสารพางค์ ไม่ขัดขวางเสียทรงที่ตรงไหน
พิศพลางปฏิพัทธ์กำหนัดใน จะใคร่ไปโอบอุ้มองค์มา...
สวยเหมือนนางบุษบาแปลงมาเลยทีเดียว”
ผู้ประกาศบนเวทีเอ่ยชมความสวยงามของหญิงสาวที่ได้รับตำแหน่งด้วยความชื่นชม หญิงสาวที่ได้รับตำแหน่งในวันนี้สวยงามจับใจจริงๆ
หลังจากรับสายสะพายพร้อมกับถ้วยรางวัลแล้ว หญิงสาวเจ้าของตำแหน่งเทพีทุเรียนชะนีก็เดินโชว์ตัวบนเวทีอีกครั้ง ส่วนด้านล่างเวทีนั้น หญิงชราวัยแปดสิบ เจ้าของสวนทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจันทบุรีกับพรรคพวกต่างร้องไชโยกันด้วยความดีใจ ที่หลานสาวของตัวเองได้ตำแหน่งนางงาม
ทันทีที่ลงมาจากเวทีนางงามเจ้าของตำแหน่งถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอถูกคุณยายจอมเผด็จการขอร้องแกมบังคับให้เข้าประกวดเพื่อกู้หน้าเพราะส่งนางงามเข้าประกวดมากี่ปีก็ไม่เคยได้สักตำแหน่ง
แถมถูกสวนทุเรียนคู่แข่งดูถูกว่า ถึงจะเป็นสวนใหญ่แต่ไม่มีทางได้ตำแหน่งนางงามแน่ เมื่อถูกท้าทายคุณนายก้านยาวยอมไม่ได้ ดังนั้นจึงบังคับหลานสาวให้เข้าประกวดเพื่อลบคำสบประมาท ทั้งขู่และบังคับอยู่นานกว่าหมอนทองจะยอม
“ดีมาก ไอ้หมอนของยาย” นางก้านยาวโผเข้ามากอดหลานสาวแล้วหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความพอใจปลื้มที่หลานสาวได้ตำแหน่ง
“ยาย รีบพาหนูกลับบ้านเถอะ” หมอนทองเร่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ทำไม”
“ชุดบ้านี่ทำหนูคันไปทั้งตัวเลย” หญิงสาวพูดตรงๆ ชุดไทยชุดนี้สร้างความรำคาญให้มากถึงมากที่สุด อยากจะเกาก็ทำไม่ได้
“ทนเอาหน่อยสิ วันนี้เอ็งสวยที่สุดเลย ยายปลื้ม” คุณนายก้านยาวยังคงชมหลานสาวต่อ วันนี้หมอนทองสวยจริงๆ สวยชนิดที่ว่าใครมองผ่านคนคนนั้นต้องตาบอด
“เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว รู้ไหมพรุ่งนี้ยายให้คนเตรียมรถให้เลยนะ”
“รถอะไรยาย” หมอนทองถามด้วยความแปลกใจ
“เอาน่า พรุ่งนี้จะรู้เอง” หมอนทองมองผู้เป็นยายด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจนัก ลองได้พูดแบบนี้ต้องมีอะไรที่มันไม่ธรรมดาแน่
หมอนทองเหล่ตามองยายเล็กน้อยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มโบกมือให้กับคนที่มายืนอยู่ข้างทาง เพื่อรอดูขบวนรถที่คุณนายก้านยาวผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวนทุเรียนเมืองจันทบุรี จัดแห่โชว์หลานสาวที่เพิ่งได้ตำแหน่งนางงามเทพีทุเรียนชะนีเมื่อคืนนี้
เธอถูกปลุกตั้งแต่เช้ามืดและจับแต่งหน้าแต่งตัวแบบจัดเต็มยิ่งกว่าบนเวทีประกวดนางงาม พร้อมทั้งขอร้องแกมบังคับให้ขึ้นรถแห่รอบหมู่บ้าน
“ยาย แบบนี้ไม่เอาแล้วนะ หนูยิ้มจนเหงือกแห้งแล้ว” หญิงสาวบ่นเมื่อการโชว์ตัวจบลง
“จะบ่นอะไรวะไอ้หมอน หลานยายสวย ยายก็อยากโชว์ก็เท่านั้น” คุณนายก้านยาวย้อน จากนั้นก็หันมายิ้มให้กับชาวบ้านที่เข้ามาเอ่ยชมความสวยของหมอนทองต่อ
“ยายนะยาย ถ้ารู้ว่าประกวดแล้วจะเป็นแบบนี้หนูไม่ประกวดหรอก” หมอนทองบ่นกระปอดกระแปดเบาๆ
“อย่าบ่นได้ไหม ยายเลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่เด็กจนโต ยายเคยบ่นหรือเปล่า” คุณนายก้านยาวย้อนเข้าบ้าง
หมอนทองเป็นหลานที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กและรักมากที่สุด เพราะลูกสาวและลูกเขยจากไปด้วยอุบัติเหตุตอนหลานคนนี้อายุเพียงแค่ขวบเศษๆ เท่านั้น
“โธ่ ยายจ๋า หนูก็พูดไปอย่างนั้นแหละน่า อย่างอนสิ” หมอนทองกอดเอวยายประจบ
“ไม่ได้งอนแต่น้อยใจ ยายผิดเหรอที่มีหลานสาวสวยแล้วอยากโชว์”
“ไม่ผิด หนูบ่นก็เพราะชุดไทยที่ยายหามาให้ทำให้หนูคัน” หญิงสาวโยนความผิดให้ชุดไทยแทน
“โถ เรื่องนี้เอง เดี๋ยวยายจะไปจัดการคนที่หาชุดนี้มาให้เอ็งใส่ มิน่านั่งอยู่บนรถยุกยิกอย่างกับลิงกังที่แท้ก็คัน” คุณนายก้านยาวเข้าใจแล้ว
“ใช่จ้ะ” หมอนทองพยักหน้ารับ
“ตอนนี้หายแล้วใช่ไหมลูก”
“หายแล้วจ้ะยาย เห็นไหม คาลาไมน์เต็มแขนไปหมด”
“ดีแล้ว ตอนนี้เอ็งเรียนจบมาหลายปี ได้ตำแหน่งนางงาม ตอนนี้อายุก็ยี่สิบเจ็ดแล้ว ตอนนี้ได้เวลาที่เอ็งควรจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีนะ” สีหน้าคุณนายก้านยาวเปล่งประกายความหวังออกมาอย่างเด่นชัด
“ทำไมยายพูดแบบนี้” หมอนทองเริ่มรู้แล้วว่ายายต้องการอะไรจากนี้อีก
“ยายอยากมีเหลนและเอ็งก็หมั้นมาสิบสองปีแล้ว นี่ถ้าเพื่อนยายไม่ด่วนตายไปเสียก่อนคงได้แต่งงานกันไปนานแล้ว สัญญากันไว้ว่าจะอยู่ให้ถึงหนึ่งร้อยเอ็ดปี แต่แม่นั่นดันตายตอนอายุแปดสิบเอ็ด”
“คู่หมั้นหนูตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ สี่เดือนก่อนไปถ่ายละครที่ฮ่องกง กลับมาก็ไปรับเล่นเป็นพระเอกอีก และเขาไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลยนะตั้งแต่วันหมั้น” หมอนทองแอบถอนหายใจเบาๆ
จริงอยู่ที่แอบชอบผู้ชายคนนั้นมาตั้งแต่แตกเนื้อสาว แต่เมื่อโตขึ้นหมอนทองก็รู้ว่าเขาคนนั้นไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด
“เขาเป็นดาราใหญ่นะโว้ยก็ต้องไปหลายที่ เอ็งจะให้มาอยู่ดูแลสวนได้อย่างไร และถ้าเขาไม่มาที่นี่ เอ็งก็ไปหาสิ” คุณนายก้านยาวมองว่าทุกอย่างไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้การแต่งงานล้มเลิก
“เอ็งดูข่าวนี่สิ ไอ้ว่าที่หลานเขยนี่ตายยากจริงๆ พูดปุ๊บเจอข่าวปั๊บ”
หมอนทองนั่งมองหน้าจอทันที ภาพข่าวทำให้อมยิ้มเพราะผู้ชายที่อยู่ในจอโทรทัศน์คือชายในฝันของตน แต่อมยิ้มได้ไม่นานก็ต้องหุบยิ้มเพราะคู่หมั้นหนุ่มดันให้สัมภาษณ์คู่กับพิชญา อมรกุล นักแสดงสาวที่กำลังมีข่าวว่าทั้งคู่กำลังสานสัมพันธ์กันอยู่
“ช่วงนี้มีภาพหลุดของคุณสองคนบ่อยๆ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรคะ”
“ก็อย่างที่เห็นค่ะ” นักแสดงสาวเป็นฝ่ายตอบเสียเอง
“แสดงว่าคุณไปกินข้าวด้วยกัน ไปซื้อของด้วยกัน ไปรับไปส่งกันอย่างนั้นหรือคะ” นักข่าวถามต่อ
“เราทำงานร่วมกันครับ บ้านก็ไปทางเดียวกัน มันจึงไม่แปลก” คราวนี้ฝ่ายชายตอบ ทำเอาคนดูอย่างหมอนทองเบ้ปาก
“แล้วข่าวที่ว่าคุณสองคนกำลังคบหากันจริงหรือเปล่าคะ”
“เราเป็นเพื่อนร่วมงานค่ะ แต่ถ้าอยากจะคิดไกลกว่านั้นน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย” คำตอบของนักแสดงสาวเรียกเสียงฮือฮาของนักข่าวได้ ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะมีงานที่จะต้องไปทำ
“พวกดาราลองพูดแบบนี้คบกันทั้งนั้น” นางสมใจคนรับใช้วัยหกสิบของคุณนายก้านยาวพูดออกมาบ้างหลังจากฟังข่าวจบ
หมอนทองนั่งเม้มปากแน่นเสียความรู้สึกเป็นที่สุด ที่ผ่านมาเขามีข่าวกับผู้หญิงหลายครั้งแต่ไม่มีการให้สัมภาษณ์ที่ทำให้คิดมากแบบนี้เลย
“ว่าไงไอ้หมอน เอ็งจะเอาอย่างไร” คุณนายก้านยาวหันมาถามเมื่อเห็นหมอนทองนั่งนิ่งไม่พูดอะไรสักคำ
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นแค่ข่าวคู่จิ้นเพื่อเรียกเรตติ้งก็ได้” หมอนทองพูดอย่างคนสวยมองโลกในแง่ดี
“ยายว่าได้เวลาที่ต้องคุยกันเสียที หมั้นไว้นานแล้วได้เวลาที่จะต้องตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว” คราวนี้ท่าทางคุณนายก้านยาวจะเอาจริง
“ยายจะให้หนูไปหาเขาเหรอ” หลานสาวเดาใจยายออก
“ใช่ ยายว่าไปพูดกันเสียทีก็ดี” หญิงชราตัดสินใจเด็ดขาดเป็นไงเป็นกันดีกว่าค้างเติ่งแบบนี้
“แล้วยายไม่ไปพูดเองเหรอ”
“เอ็งไปนั่นแหละ ตกลงกันให้เรียบร้อย เขาว่าไงรายงานยายด้วย” คุณนายก้านยาวสั่งงานแล้วลุกขึ้นเดินหายไป
คนฟังตกที่นั่งลำบากแล้ว แม้ปราชญ์จะเป็นผู้ชายที่อยู่ในใจมาตลอด แถมเป็นคู่หมั้นที่ผู้ใหญ่จัดการให้ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้สนใจตนแม้แต่น้อย ซ้ำหมอนทองยังต้องเป็นคนไปทวงสัญญาด้วยตนเองอีก
งานนี้ทั้งอึดอัดทั้งกังวลเป็นที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำ เพราะนั่นคือศักดิ์ศรีและอนาคตของนางสาวหมอนทองคนนี้
เพราะถูกความรักทำร้ายตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นทำให้เตชน์ ชลธีพงศ์ ชายหนุ่มวัย 45 ผู้หล่อเหลาไม่คิดที่จะจริงจังกับใคร เขาใช้ชีวิตแบบชายเสเพลจนกลายเป็นที่เลื่องลือในวงสังคมว่าถ้าไม่อยากอกหักอย่ารักเตชน์ ศศิปิลันธ์ ปัทมพิสุทธิ์ หญิงสาววัย 24 ที่อ่อนหวานแต่ทว่าไม่อ่อนแอ เธอเติบโตมาโดยมีสายตาแห่งความเกลียดชังของเขาจ้องดูอยู่ตลอดเวลา ความอ่อนหวาน สดใสและอ่อนโยนของเธอจะสามารถหลอมละลายหัวใจน้ำแข็งของเขาได้หรือไม่ ความรักจะสามารถทลายกำแพงแค้นได้หรือเปล่า
“จูบผมหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงคือการขอร้องและอ้อนวอน พุดแก้วยิ้มขยับตัวเข้าไปหาและค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นิโคลัสใช้มือโอบรอบตัวเธอและกอดไว้แน่น ขณะที่ริมฝีปากนั้นรับจุมพิตอย่างพออกพอใจที่สุด “พอแล้ว” พุดแก้วพูดออกมาหลังจากที่ถอนริมฝีปากของตัวเองออกจากเขาและดันตัวออกห่างช้าๆ ในขณะที่คนตัวใหญ่มองอย่างเสียดาย “ทำไมล่ะ” “เพราะคุณจะไม่หยุดแค่นั้น” หญิงสาวพูดออกมาอย่างรู้ทัน “และขาคุณหัก” หญิงสาวขยับตัวออกห่างจากรัศมีของวงแขนเขา “แต่อย่างอื่นมันไม่ได้หักนี่นา ร่างกายบางส่วนของผมยังแข็งแรงดี”
“ตบนี้สำหรับสิ่งที่คุณทำกับคำพูดจาบจ้วงเมื่อครู่ ถ้าคุณทำอีก ฉันก็จะตบคุณอีก ไม่มีการละเว้น” นภัสคาดโทษด้วยน้ำเสียงจริงจัง อนิรุทธ์ยกมือลูบแก้มของตัวเองเบาๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มแฝงอยู่แววตายังคงเจ้าเล่ห์ซุกซนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะบอกว่ามันไม่สลดเลยสักนิดก็ได้ “ก็ดีนะ คิดว่าคุ้มอยู่เหมือนกันหนึ่งตบแลกกับหนึ่งกอด หนึ่งจูบ หนึ่งหอม คุ้มดี” เขาทำท่าจะเข้าหาอีกต่อ แต่นภัสใช้ความเร็วหลบได้ทัน “คุณเห็นฉันเป็นอะไร คิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” “เห็นคุณเป็นโฉมงาม เป็นแม่โจรเสียงหวานหน้าสวยน่ะสิ คนสวยของผม”
รักแรกพบ พรหมลิขิต แรงอธิษฐาน ปาฏิหาริย์ สองคน สองช่วงเวลา สองหัวใจที่รวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
เนื้อตัวเต้นเร่าเตลิดเพลิดไปตามสัมผัสร้อนแรง เธอบังคับให้หยุดคิดถึงคนอื่นนอกจากคุณวายุ แต่เมื่อริมฝีปากของวายุแตะเข้ากับกลีบกาย พร้อมทั้งตวัดลิ้นเลียไปทั่วซอกหลืบ กลีบเนื้อบอบบางแต่อวบอูมของ 'หมูชมพู' จึงกระดิกแอ่นหยัดบั้นท้ายกระดกซอกหลืบสวนทางกับเรียวลิ้นของวายุ "คุณอุ่น และหอมมากหมูชมพู" พรรณชมพูส่ายวนโคกเนินที่เบียดบดไปกับริมฝีปากหนา ลิ้นของเขาปาดไปมาบนติ่งกระสันเหมือนกับปาดหน้าเค้ก เธอดิ้นพรวดพราดกัดริมฝีปากจนเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ลิ้นสากๆ ห่อม้วนชำแรกเข้าไปในร่องสาวอันชุ่มฉ่ำ เมื่อนั้นริมฝีปากที่ถูกกัดจะห้อเลือดก็แยกอ้า พรรณชมพูเผลอกรีดร้องครวญครางถึงใครบางคน ที่จมอยู่ในห้วงความคิดไม่เคยเลือนหาย "อ๊า พี่เสือ" วายุผงกหัวขึ้นมองคนที่กำลังแอ่นลำคอและลำตัวทอดโค้ง แววตาของเขาไหววาบเป็นไฟ และเขาก็กัดกลีบกายบางๆ สีชมพูจนหมูชมพูของเขาสะดุ้งเฮือกสุดตัว "อ๊ะ เฮือก" เธอถูกกัด
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เมื่อเขาต้องเลือกเจ้าสาวจากลูกสาวของเพื่อนสนิทของพ่อที่มีอยู่2คน คนพี่สวยเซ็กซี่หยิ่งทนง คนน้องสวยน่ารักใสซื่อไม่ถือตัว เขาควรจะเลือกใครดี
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
กาย กันต์ธีร์ พิสิฐกุลวัตรดิลก ฉายาราชาแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ หนุ่มหล่อแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์เอกคอมพิวเตอร์ ปี 4 เขาหล่อ เขาเฟียร์ส เขาเฟี้ยว เขาซ่าส์ แต่โคตรทะลึ่ง และสุดแสนจะทะเล้น จีบหญิงไม่เก่ง แต่ผมเยเก่งนะครับที่สำคัญผมโสดสนิท!!แต่อยู่ดีๆดันมาเสียหัวใจให้กับยัยตัวร้ายแบบเธอ!!!อลิส อังสุมาลิน "รักนะไอ้ต้าวลิส" อลิส อังสุมาลิน ฐิศานันตกุล นิเทศศาสตร์ ปี 2 เธอสวย เธอเซ็กซี่ เจ้าแม่แห่ง Sex appeal ปากไม่แดงไม่มีแรงเดิน ใครดีมาเธอดีตอบ ใครร้ายมาเธอตบ!!หลงรักกายหนุ่มหล่อแสนเจ้าเล่ห์ที่อยู่ๆก็มาจูบปากเธอ แถมเล่นเกินเบอร์เรียกเธอว่าเมีย!! น่ารักเบอร์นี้อลิสยินดีตกหลุมรักจ้ะพี่จ๋า ชาตินี้ไม่ได้พี่กายเป็นผัว อลิสจะโสดคอยดู!!ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก🥰มารยาหญิงร้อยเก้าเล่มเกวียนงัดมาให้หมด ☺️☺️ "รักนะน้อนพี่กาย"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด