โปรย : จู่ ๆ คู่หมั้นที่ทอดทิ้งไปนานถึงสี่ปี กล้าดีกลับมาสู่ขอ หึ! คนสติดีที่ไหนจะไปแต่งด้วย หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร เธอก็จะไม่แต่งกับเขาเป็นอันขาด ****** “พี่ไม่ดีตรงไหนคะ” “เมต้องตอบด้วยเหรอคะ ไว้พี่ภีมตอบคำถามตัวเองได้เมื่อไหร่ แสดงว่าคงเป็นคนดีขึ้นมากโขเมื่อนั้น” “ก็ได้ค่ะ ก็ได้” ร่างสูงเปลือยเปล่ายกมือขึ้นสองข้าง แสดงอาการยอมแพ้ เมลดาเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า คนหน้าไม่อาย ‘รู้ว่าใหญ่ แต่ไม่เห็นต้องยืนอวดขนาดนั้น’ เธอไม่โง่ กลับไปกินไส้กรอกที่มีเจ้าของแล้ว ให้มันเสียศักดิ์ศรีหรอก แม้จะกินไปแล้วครั้งหนึ่งก็เถอะ ก็ตอนนั้นเธอยังไม่รู้นี่
ท่ามกลางความมืด ดวงตาสีสนิมเบิกโพลง นัยน์แววตาไหวระริก มันแฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด หัวใจแกร่งกำลังสั่นไหว เพราะภาพฝันซ้ำ ๆ ที่เขาไม่อาจลบเลือนไปจากใจ เม็ดเหงื่อซึมออกมาทั่วกรอบหน้าอันหล่อเหลา เขาหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม ปากหยักเอ่ยเสียงแผ่วเบาแหบพร่า ‘มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก พี่สัญญา’
สี่ปีที่แล้ว
รถสปอร์ตคันหรูจอดลงตรงหน้าคอนโดใจกลางเมือง ดวงตาสีสนิมมองไปยังประตูทางออกของโถงคอนโดไม่วางตา เขากำลังรอใครบางคน เพียงไม่นานร่างระหงของหญิงสาวซึ่งเป็นคู่หมั้นก็ค่อย ๆ เยื้องย่างออกมา พาให้ริมฝีปากหยักยกยิ้มเต็มใบหน้า
คู่หมั้นของเขาเพิ่งเรียนจบ เมลดา และเพื่อน ๆ ของเธอนัดประชุมกับผู้ออกแบบที่จะมาช่วยออกแบบห้องเสื้อที่พวกเธอกำลังก่อตั้งขึ้นในเร็ววันนี้ และกำลังจะก้าวสู่เส้นทางสายอาชีพที่เธอใฝ่ฝัน และเขาก็รู้สึกภูมิใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก
ภีมออกไปทำงานแล้ว แต่เขากลับเข้ามายังคอนโดอีกครั้ง เพียงเพราะเขาอยากจะไปส่งคู่หมั้นสาวด้วยตัวเอง แม้เธอจะปฏิเสธ อีกทั้งยังยืนกรานว่าสามารถเดินทางไปเองได้ แต่เขากลับไม่ยอม เพียงเพราะเขาอยากดูแลเธอ
ภีมก้าวขาลงจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเมลดา มือแกร่งเอื้อมไปจับมือบาง แล้วจูงมือเธอไปยังรถที่จอดติดเครื่องรออยู่
“พี่ภีมไม่เห็นต้องไปส่งเมเลย เมบอกแล้วว่าไปเองได้”
เมลดาบ่นอุบ เพราะเธอเกรงใจเขา ตอนนี้ภีมมีงานค่อนข้างเยอะ เธอไม่อยากรบกวนเขาเลยจริง ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะพี่อยากไปส่ง”
“อุ๊ย” หญิงสาวอุทานเบา ๆ เมื่อทำแว่นกันแดดตกลงยังพื้น
ภีมส่ายหน้าแล้วยิ้ม คนสวยมักซุ่มซ่ามเขาเข้าใจ ร่างสูงค่อย ๆ ก้มลงไปหยิบแว่นอันนั้นขึ้นมาให้เธอ
ปัง! เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงผู้คนบริเวณนั้นกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ต่างวิ่งหลบหนีกันจ้าละหวั่น ในขณะที่ร่างบอบบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาค่อย ๆ ทรุดตัวลงมาอย่างช้า ๆ สองแขนแกร่งรับร่างไร้สติไว้ในอ้อมแขน เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ไหลออกมาจากร่างระหง หัวใจชายหนุ่มกระตุกวูบ และบีบรัดตัวอย่างรุนแรง เขาแทบลืมหายใจ ภีมขบกรามแน่น แม้ไม่เห็นที่มาของกระสุน แต่เขารู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร สาบานว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่พวกมันจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจแบบนี้…
ณ โรงพยาบาล
สายตาคมกริบจ้องมองไปยังร่างบางที่เพิ่งจะออกจากห้องผ่าตัด ภีมขบกำหมัดแน่น จนเห็นข้อนิ้วเป็นสีขาว
“น้องปลอดภัยแล้วครับ กระสุนแค่เฉี่ยวที่ต้นขา ไม่ได้โดนอวัยวะสำคัญ พี่ภีมไม่ต้องกังวลนะครับ” ภูบดีบอกพร้อมตบไหล่พี่ชายเบา ๆ
“ไม่กังวลได้เหรอวะ แค่เฉี่ยวก็ไม่ได้แล้วไหม?” ภีมมองภาพเมลดาที่ยังนอนหลับใหลด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาขบกรามแน่นจนขึ้นสันนูน ก่อนจะเอ่ยบอกน้องชาย “ภู พี่ฝากน้องสักครู่ เดี๋ยวพี่มา”
“พี่จะไปไหน ถ้าน้องฟื้นขึ้นมาน้องคงอยากเจอพี่เป็นคนแรก” คนเป็นน้องเอ่ยถาม
“พี่จะไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย สัญญาว่าไปไม่นาน” ภีมบอกแล้วเดินจากไป
ภูบดีได้แต่มองตามหลังพี่ชายไปจนลับตา ก่อนจะหันไปมองน้องสาวต่างสายเลือดที่ยังนอนสลบไสลไม่ได้สติ
สามชั่วโมงต่อมา เมลดาถูกย้ายมายังห้องพักฟื้นเรียบร้อยแล้ว พลอยชมพู แทนไท และปารดาเดินทางมาเยี่ยมทันทีที่ทราบข่าว เพื่อน ๆ ทุกคนต่างตกใจ และเป็นห่วงเมลดามาก จู่ ๆ เมลดาก็ไม่มาตามนัด แถมยังติดต่อไม่ได้ พอทราบข่าวอีกที เมลดาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างที่เห็น ทั้งสามอยู่เป็นเพื่อนเฝ้าเมลดากระทั่งนภา และปีเตอร์เดินทางมาถึง บรรดาเพื่อน ๆ จึงหลบไปนั่งอยู่ห่าง ๆ เพราะอยากให้ครอบครัวได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
“ภูน้องเป็นยังไงบ้าง” นภาเอ่ยถามอาการของคนเจ็บทันทีที่เห็นหน้าลูกชายซึ่งเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้
“น้องปลอดภัยแล้วครับแม่ ฟื้นขึ้นมาแล้วรอบหนึ่งแต่ก็หลับต่อเพราะฤทธิ์ยา แม่อย่าร้องไห้เลยนะครับ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยปลอบมารดา
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงอ่ะภู รู้ไหมใครเป็นคนทำน้อง” คนเป็นแม่เอ่ยถามทั้งน้ำตา เพราะรู้สึกสงสารเมลดาจับใจ นางไม่อยากจะเชื่อว่าเมลดาจะถูกยิง เมลดาไม่ได้มีศัตรูที่ไหน ตอนนี้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร คงต้องรอทางตำรวจสืบหาคนร้ายให้ได้
“พี่พีท พี่พีทต้องช่วยติดตามเรื่องนี้นะคะ การที่เมเปิ้ลโดนยิงมันต้องไม่ใช่เรื่องปกติ บางครั้งอาจจะเกิดจากการยิงผิดตัวก็ได้นะคะ คอยดูเถอะนภาจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด” นภาเอ่ยบอกปีเตอร์ผู้เป็นสามี
“นภาไม่ต้องกังวลนะครับ พี่จะช่วยให้ถึงที่สุด พี่สัญญา” เพียงแค่สามีรับปาก นภาก็รู้สึกดีขึ้นมาก
“ภู แล้วภีมล่ะ ภีมไปไหน” นภาเริ่มสงสัย เพราะตั้งแต่นางเข้ามายังไม่เห็นลูกชายคนโตแม้แต่เงา
“พี่ภีมกำลังไปติดตามเรื่องนี้อยู่ครับแม่” ภูบดีเอ่ยตอบ ก่อนจะหันไปสบตากับผู้เป็นพ่อ
รุ่งเช้าของอีกวัน
เมลดารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเต็มตา เธอรู้สึกเจ็บและตึงที่ต้นขาเป็นอย่างมาก ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เคยสดใส กลับซีดเซียวไร้สีเลือด เธอรู้สึกคอแห้งผาก เพียงขยับตัวก็รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณต้นขาจนต้องร้องออกมาเบา ๆ
“โอ๊ย”
เสียงร้องของคนเจ็บ ทำให้เพื่อนทั้งสามที่กำลังเฝ้าเธออยู่ตางกรูเข้าไปหาคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง
“เม ตื่นแล้วเหรอ” ทั้งสามเอ่ยถามออกมาเป็นเสียงเดียว
“พลอย ปิ๊ง แทน นี่อยู่ด้วยกันหมดเลยเหรอ”
“อือ เป็นห่วงแทบแย่” เพื่อนทั้งสามเข้ามาสวมกอด พร้อมลูบเนื้อลูบตัวด้วยความเป็นห่วง นั่นทำให้เมลดาถึงกับน้ำตารื้น
“ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง” เมลดารู้สึกซึ้งใจที่ยามนี้เพื่อนสนิทมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า เธออยู่กับเพื่อน ๆ ไปพักใหญ่ แต่เธอก็ยังไม่เห็นหน้าคู่หมั้นของเธอสักที เมลดาจึงเอ่ยถาม
“ไม่เห็นพี่ภีมเลย ใครเห็นพี่ภีมบ้าง” สิ้นคำนั้น เพื่อน ๆ ต่างส่ายหน้า ตั้งแต่เมื่อวานทุกคนก็ไม่เห็นภีมเช่นกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหายไปไหน ทุกคนต่างคิดว่าเขาน่าจะไปจัดการเรื่องคดีความให้เมลดา
“ไง ฟื้นแล้วเหรอ” เสียงเอ่ยทักทาย มาพร้อมภูบดีที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา ภูบดีซึ่งทำหน้าที่แพทย์ฝึกหัดอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้แวะมาเยี่ยมเมลดาแต่เช้า
“พี่ภู”
“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นไหม เจ็บแผลรึเปล่า” คุณหมอหนุ่มถามเป็นชุด
“เจ็บค่ะ ตึงแผลด้วย พี่ภูคะ พี่ภีมล่ะ เมยังไม่เห็นหน้าพี่ภีมเลย”
สิ้นคำนั้นภูบดีได้แต่ยิ้มเจื่อน เขาลูบศีรษะเมลดาเบา ๆ เวลานี้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง แต่เขายังฝืนยิ้ม ก่อนจะเอ่ยบอก “พี่ภีมมีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศด่วนน่ะ”
“คะ?” เมลดารู้สึกงงงัน เธอเงียบไป มองสบตาพี่ชายนิ่งเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภีมมีธุระด่วนต้องเดินทาง แต่เขาต้องเดินทางในเวลาที่เธอบาดเจ็บขนาดนี้ด้วยเหรอ ในใจเธอเต็มไปด้วยคำถาม
“เมพักผ่อนเยอะ ๆ นะ จะได้หายไว ๆ”
“ค่ะ แล้วพี่ภูทราบไหมคะว่าพี่ภีมจะกลับมาเมื่อไร?”
“พี่ยังไม่ทราบเลย”
“หมายความว่าไงคะ พี่ภีมไม่ได้บอกไว้เหรอคะ?” คนเจ็บเอ่ยถาม ในขณะที่น้ำตากำลังเอ่อคลอเบ้าตา
“มันเป็นความจำเป็นจริง ๆ พี่ภีมฝากขอโทษเมด้วย ที่อยู่ดูแลไม่ได้ แต่เมไม่ต้องเสียใจนะ พี่และทุกคนอยู่กับเมตรงนี้แล้ว พี่สัญญาว่าจะดูแลเมอย่างดี”
เมื่อภูบดีพูดจบ เมลดาก็น้ำตาร่วงเผาะ ในช่วงเวลาแบบนี้ทำไมภีมถึงทิ้งเธอได้ลงคอ ภูบดีเฝ้าเช็ดน้ำตาให้คนเจ็บ กระทั่งถึงเวลาที่เขาต้องออกตรวจ เขาฝากเพื่อน ๆ ทั้งสามให้ดูแลเมลดา ก่อนจะออกไปทำหน้าที่ของตน
เมลดาร้องไห้อยู่นาน ความรู้สึกมันบอกเธอว่าการจากไปของภีมในครั้งนี้ มันไม่ควรเกิดขึ้น มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ แล้วมีเหตุผลอะไรเขาถึงจากไปโดยไม่ลากันสักคำ
เมลดาเฝ้ารอการติดต่อจากคู่หมั้นมาหลายวัน แต่ก็ไม่เป็นผลเขาไม่ติดต่อกลับมาสักครั้ง เธอไม่กล้าบอกคุณยายนิ่มด้วยซ้ำว่าเธอถูกยิงได้รับบาดเจ็บ แถมยังกำชับครอบครัวโดเรนสันทุกคนให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย เพราะไม่อยากให้คุณยายนิ่มเป็นห่วง แม้แต่พริษาพี่สาวคนสนิทที่อยู่เมืองนอก ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
ผ่านไปเกือบสัปดาห์ กระทั่งเมลดาได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล ภีมก็ยังไม่ติดต่อกลับมา เธอพยายามติดต่อหาเขาเกือบทุกวันแต่ก็ยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม ถามครอบครัวโดเรนสันก็ได้คำตอบเดียวกันคือเขาน่าจะยุ่งกับการช่วยงานปู่ นภาเองก็ทำหน้าเศร้าสร้อย คงติดต่อลูกชายไม่ได้เหมือนกัน นั่นทำให้เมลดาไม่กล้าเอ่ยปากถามผู้เป็นป้า
คนเจ็บได้แต่เก็บทุกอย่างไว้ในใจ ทั้ง ๆ ที่เธอบาดเจ็บขนาดนี้ เธอไม่เข้าใจว่าเขายุ่งขนาดไหนถึงติดต่อไม่ได้ แถมเขายังไม่ติดต่อมากลับมาสักครั้ง เขาทำราวกับเธอไม่ใช่คู่หมั้นของเขา หรือที่ผ่านมาเขาแค่นึกสนุก หลอกฟันเธอเล่น ๆ จริง ๆ แล้วเขายังฝันจะไปใช้ชีวิตกับใครสักคนที่เขารักที่เมืองนอก แล้วจะไม่กลับมาอีกอย่างที่เขาเคยบอก แค่คิดเมลดาก็รู้สึกปวดหนึบในหัวใจ ร่างบางค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้บนที่นอน มือบางที่กำลังจับโทรศัพท์มือถืออยู่ค่อย ๆ ปล่อยมันลงไปอย่างหมดเรี่ยวแรง สองมือกอดเข่าทั้งสองข้างไว้ น้ำตายังไหลอาบสองแก้ม เสียงสะอึกสะอื้นเริ่มดังขึ้น หากใครได้ยินคงคิดว่าใครทำอะไรให้เธอเสียใจนักหนา เวลานี้เธอรู้สึกเสียใจเป็นที่สุด ภีมช่างใจดำกับเธอเหลือเกิน เธอเจ็บขนาดนี้ ทิ้งไปได้ยังไง ในเมื่อเขาใจดำกับเธอนัก เธอก็ไม่ควรจะสนใจไยดีเขาเช่นกัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป เธอจะไม่ติดต่อหาเขา และจะไม่ถามถึงเขากับสมาชิกในครอบครัวโดเรนสันอีกแล้ว
จากวันนั้นล่วงเลยมาถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสี่ปีเต็มแล้ว ที่เมลดาไม่ถามถึงภีมกับใครอีก แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทิ้งเธอไปได้ลงคอในสภาพแบบนั้น แต่ในเมื่อคำถามมันไร้คำตอบ เธอจึงไม่อยากถามอีก ชีวิตเธอยังต้องดำเนินต่อไป และเธอหวังว่าเธอจะได้รับคำตอบเมื่อเขาพร้อมจะกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
‘ทริปฮันนิมูนที่ไม่ได้มีแค่เรา แต่ฉันและเขายังมีผู้ร่วม ทริปเข้ามาสร้างสีสันอีกมากมาย’ หลังแต่งงาน ตฤณก็พาภรรยาสาววัยละอ่อนอย่างยี่หวาไปฮันนิมูนเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่น ๆ แต่การเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับสามีผู้เป็นนักธุรกิจในครั้งนี้ กลับทำให้ยี่หวาได้รู้ว่าตฤณสามีของเธอมีรสนิยมทางเพศแบบไหน และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาทำให้เธอได้รู้จักตัวตนของตัวเองอย่างที่เธอไม่คิดว่าจะได้รู้จักด้วยซ้ำ ตฤณจะพายี่หวาไปฮันนิมูนที่ไหน อย่างไร และกับใคร ติดตามอ่านได้ใน “ฉ่ำรักเมียนักธุรกิจ” แนะนำตัวละคร ยี่หวา : สาวสวยวัย 24 ปี ผู้มีผิวขาว และรูปร่างอวบอัด แต่น่าทะนุถนอม นิสัยอ่อนหวาน ว่าง่าย แต่เป็นคนอยากรู้อยากลอง ยี่หวาเพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่ตฤณทำกับเธอในห้องหอนั้นมันก็แค่น้ำจิ้ม เพราะเมื่อเดินทางไปฮันนิมูนกับตฤณจริง ๆ เธอกลับได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ จนเธอติดอกติดใจอย่างยากจะถอนตัว สำหรับยี่หวาแล้ว 'คืนเข้าหอที่เคยคิดว่าเด็ด ยังไม่เผ็ดเท่าทริปฮันนิมูนที่สามีหนุ่มจัดให้' ตฤณ : นักธุรกิจหนุ่มวัย 34 ปีหนุ่มลูกเสี้ยว บ้างาน แต่เวลาคลายเครียดก็สนุกสุดเหวี่ยง โดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์ ตฤณหมั้นหมายกับยี่หวาตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่เพราะถูกใจในความน่ารัก แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเพราะยี่หวาเป็นเด็กดี และไม่เคยดื้อกับเขาเลยสักครั้ง ว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิ ถึงจะใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกันตลอดรอดฝั่ง
“นอนดูดาวด้วยกันนะครับ” แค่ได้ยินเท่านั้นสติของเธอก็แทบกระเจิง หัวใจของหญิงสาวก็เต้นเร่า ๆ คิดไปตามคำที่เขาเอ่ย หากคืนนี้เธอนอนดูดาวกับเขาแล้วมันจะเป็นเช่นไร เขาจะให้เธอดูดาวแบบไหน ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ หรือจะให้ดูดาวทั้งฟ้า แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เธอสาบานว่าจะดู... +++++ วุ้นเส้น : สาวเนิร์ดร่างอวบประจำคณะสถาปัตย์ ผู้แอบรักหนุ่มหล่อเหลาดีกรีเดือนคณะมานานกว่าห้าปี เธอตั้้งใจจะแอบรักเขาไปเงียบ ๆ แต่ทว่าในคืนฉลองเรียนจบ กลับเกิดเหตุการแสนเร่าร้อนจนทำให้เธอได้มีโอกาสเปิดเผยความในใจที่มีต่อเขาอย่างใกล้ชิดชนิดเนื้อแนบเนื้อ และเมื่อการแอบรัก ไม่ใช่การแอบรักอีกต่อไป นั่นจึงเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ครั้งแรกของคนที่ไร้ประสบการณ์อย่างเธอ แน่นอนว่าเธอคาดหวังเสมอว่าจะได้เจอรักแท้เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ มาร่วมลุ้นไปด้วยกันค่ะว่า คนที่เธอแอบรักจะใช่รักแท้ของเธอหรือไม่ แล้วถ้าหากไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร? ติดตามอ่านได้ใน "True love รักแท้แค่เพียงเธอ"
อุตส่าห์ได้ออกเรือนกับคุณพี่ที่รักมาตั้งแต่เด็กทั้งที แต่มิมีที่คุณพี่ผู้เป็นผัวจักนอนร่วมเบาะเฉกเช่นผัวเมียพึงกระทำ ดังนั้นเธอจะทำทุกวิถีทางให้เขาร่วมเบาะนอนกับเธอให้ได้ 'มารยาที่มีเมียคนนี้จักใช้กับคุณพี่เจ้าค่ะ' --- เมื่อเห็นแผงอกแกร่งของผัวชัด ๆ แม่หญิงก็ให้กลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ สิบคนว่าฤๅจักเท่าตาเห็น สิบตาเห็นฤๅจักเท่ามือคลำ แล้วสิบมือคลำฤๅจักเท่านอนคุย แค่คิดแก้มนวลก็แดงดั่งลูกตำลึงสุกแล้ว -------- ในหอนอน แม่หญิงชบานั่งรอคุณพี่ผู้เป็นผัวขึ้นมาจากท่าด้วยท่าทางกระสับกระส่าย ในกบาลน้อย ๆ เฝ้าแต่คิดถึงสิ่งที่แม่ผัวสั่งแม่ผัวสอน “ฟังแม่หนาแม่ชบาลูก การเป็นผัวเมียมิใช่แค่การนอนหลับจับมือกันเพียงเท่านั้น” “แล้วลูกต้องทำสิ่งใดอีกเล่าเจ้าคะคุณแม่” “ผัวเมียนอกจากมีใจผูกสมัครรักใครกันแล้วไซร้ กายนั้นก็ต้องแนบชิดสนิทเสน่หา” “แนบชิดสนิทเสน่หารึเจ้าคะ ต้องทำเช่นไรรึเจ้าคะคุณแม่ ชบามิเคยทำดอกเจ้าค่ะ” “ก็รู้ว่ามิเคย แม่ถึงได้นั่งพร่ำสอนอยู่นี่อย่างไรเล่า แนบชิดสนิทเสน่หาก็คือใกล้ชิดกัน ตัวต่อตัว เนื้อแนบเนื้อ ผ้าเสื้อมิได้มาเกี่ยวมาข้อง” สิ้นคำนั้นแม่หญิงก็ให้อ้าปากค้าง ตั้งแต่เล็กแต่น้อย นางสนใจแต่การเล่นซน เพิ่งจะมาสนใจงานบ้านงานเรือนก็เมื่อปีที่แล้วด้วยโดนผู้เป็นแม่เอ็ดแลจักโดนลงหวาย แต่วันนี้เมื่อได้มาออกเรือนกับคุณพี่อย่างมิทันได้ตั้งตัว เธอเพิ่งรู้ว่าอิสตรีที่ออกเรือนนั้น นอกจากต้องดูเหย้าเฝ้าแลเรือนแล้วยังต้องปรนนิบัติพัดวีแบบเนื้อแนบเนื้อกับผัวด้วย
เมื่อยมทูตแห่งกาลเวลาส่งฉันย้อนเวลามาพบกับนายช่างใหญ่ผู้กร้าวใจ หล่อล่ำ แถมกล้ามแน่น แผนการอ่อยนายช่างของฉันจึงเกิดขึ้น “นายช่างใหญ่นี่ใหญ่สมชื่อนะเจ้าคะ” “พูดกระไรของเจ้า” “ข้าชมเจ้าค่ะ ใหญ่นักข้าชอบ แบบว่าประทับใจเจ้าค่ะ” “พูดจาอย่างคนวิปลาสหารู้ความไม่” ---- เมื่อต้องมาอยู่อโยธยา เมื่อเจอคนถูกตาต้องใจ เมื่อรู้สึกคลั่งรักเกินจะทนไหว เมื่อแม่บอกให้เชื่อใจ เมื่อพ่อไม่อยากให้ออกเรือน ฟ้ารดา มหานคร หญิงสาวทะลุมิติมายังอโยธยา ที่นี่เธอได้เจอกับนายช่างทองหลวงที่ถูกตาถูกใจ ก็ในเมื่อกลับไปไม่ได้ แผนการอ่อยนายช่างแบบเนียน ๆ จึงเกิดขึ้น นายช่างใหญ่ นายช่างทองหลวงผู้หล่อล่ำ กล้ามแน่น เขาจะต้านทานเสน่ห์ของแม่หญิงผู้ไม่เหมือนใครในอโยธยาได้หรือไม่ โปรดติดตามอ่านได้ใน "นายช่างใหญ่แห่งอโยธยาที่ข้าอยากได้"
เธอข้ามเวลามาพบเขา เขารอเวลาเพื่อจะได้เจอเธอ ------ คนอื่นทะลุมิติย้อนไปในอดีตที่พอจะรู้เรื่องราวที่ผ่านมาบ้าง แต่สำหรับแม่หญิงช่อฟ้าเธอกลับทะลุมิติมาในโลกปัจจุบันที่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย เช่นนั้นเธอจะปรับตัวอยู่ในโลกแห่งนี้ได้ฤๅไม่ แล้วพี่หมอจะช่วยให้เธอผ่านวิกฤตในชีวิตได้อย่างไร ความรักของพวกเขาจะมีอุปสรรคแค่ไหน โปรดติดตามอ่านได้ใน "พี่หมอเจ้าขาอย่าทำข้าหวั่นไหว" โปรย จากแม่หญิงคนงามแห่งอโยธยา สู่กรุงเทพเมืองฟ้าอมร แม่หญิงหวังให้พี่หมอสั่งพี่หมอสอน จักว่านอนแลสอนง่ายด้วยตั้งใจ แต่พี่หมอกลับอ่อนโยนจนหวั่นไหว ทำหัวใจมิใคร่อยู่กับเนื้อตัว ดั่งแสงสว่างชี้ทางยามมืดมัว ที่เคยกลัวกลับมลายหายสิ้นไป ยิ่งนานวันรักรุกคืบสู่หัวใจ ฤๅชะตาไซร้ลิขิตให้เรามาพบพาน ดลบันดาลให้อยู่เคียงคู่กัน ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจักอยู่เป็นคู่เคียง ….. แปรงปัดแก้มถูกบรรจงปัดไล้เบา ๆ ลงบนผิวแก้มขาวละเอียดลออของคนดวงหน้าหวานเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ช่างแต่งหน้าจะค่อย ๆ วางแปรงลง แล้วสำรวจผลงานตัวเองอีกครั้ง ใบหน้างดงามหมดจดสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ช่างแต่งหน้าไม่น้อย “เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณฟ้าชอบรึเปล่าคะ” “ฟ้าชอบค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” สิ้นคำนั้นช่างแต่งหน้าก็ค้อมศีรษะรับ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง ปล่อยให้เจ้าของห้องนั่งอยู่หน้ากระจกเพียงลำพัง เจ้าของดวงตากลมโตจ้องมองตัวเองในกระจกนิ่ง ริมฝีปากรูปกระจับที่เคลือบด้วยลิปสติกสีโอลด์โรสค่อย ๆ คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า แม้กระทั่งแววตาของเธอก็ยังเปล่งประกายทอแสงแห่งความสุข เรียวปากบางค่อย ๆ เผยอและขยับเขยื้อนเอื้อนเอ่ยกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ฉันชื่อ ‘ฟ้ารดา มหานคร’ เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณก้องเกียรติ และคุณรดาภา มหานคร เจ้าของห้างทองสี่สาขาในกรุงเทพฯ”
คืนนั้นเตียงแทบลุกเป็นไฟเกินใครจะห้ามได้ เมื่อทั้งคู่ต่างโรมรันเข้าหากันอย่างถึงพริกถึงขิง เขา : ผมไม่คิดว่าผู้หญิงที่ผมลากขึ้นเตียงจะไม่ใช่เด็กไซด์ไลน์ที่ผู้ช่วยผมหามาให้ ผมไม่รู้ว่าเธอคือใคร เพราะเมื่อผมออกมาจากห้องน้ำเธอก็จากไป ทิ้งไว้เพียงแบงก์พันสามใบกับกางเกงในซีทรูไว้ให้ดูต่างหน้า เธอ : ด้วยความเมาเธอฝันว่าเธอลากผู้ชายขึ้นเตียงแล้วแซบกับเขาอย่างถึงพริกถึงขิง ตื่นขึ้นมาเธอจึงรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ฝันแต่เธอลากผู้ชายขึ้นเตียงมาจริง ๆ เธอตัดสินใจรีบออกจากห้องไปโดยคิดว่าให้ทิปเป็นแบงก์พันสามใบก็คงน่าจะพอ
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!