ยามใดที่ได้กลิ่นหอมของเธอ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ทั้งชีวิตที่เกิดมา ไม่เคยมีใครแสดงท่าทีรังเกียจฉันได้มากเท่าเขาอีกแล้ว… “คุณมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าคะคุณแซ้งค์” “ใครจะกล้ามีปัญหากับลูกสาวเจ้าพ่ออย่างคุณเอวาได้ล่ะครับ” “ก็คุณไงคะ” .......................................................................................... ฉันต้องรู้สึกยังไงที่จู่ ๆ ก็มีคนบางคนชอบแสดงท่าทีเหมือนรังเกียจ ทุกครั้งที่พยายามเข้าใกล้ เขาก็จะถอยห่าง มองจากดาวอังคารยังรู้ ว่า ‘คุณแซ้งค์’ กำลังไม่ชอบขี้หน้าฉันอย่างแรง แต่บอกไว้ก่อน เราไม่เคยมีเรื่องกัน แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ไปได้ “บอกเหตุผลมาหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมถึงทำเหมือนไม่ชอบฉันนัก” “ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมแค่ไม่อยากอยู่ใกล้คุณ” “แล้วมันทำไม?” “ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง” หลังจากได้รับคำตอบ ฉันก็ไม่เคยเข้าใจในความหมายนั้น กระทั่งคืนหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ซึ่งนี่แหละคือจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเราไปตลอดกาล...
วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ กลางวันนอน พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็ไปที่สนามแข่ง ชีวิตในแต่ละวันวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้
แม้จะเรียนจบแล้ว ทว่าฉันกลับไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง
ได้แต่บอกตัวเองว่าเอาไว้ก่อน ขอใช้ชีวิตให้สนุกสักช่วงหนึ่งจนกว่าจะพอใจเดี๋ยวก็หยุดเอง
และถึงทำตัวแบบนี้ ทว่าในตอนที่ยังเรียนอยู่ฉันก็เต็มที่ไปกับมัน กระนั้นต่อให้เกรดเฉลี่ยเยอะแค่ไหนป๊าก็ไม่เคยสนใจในตรงนั้น ท่านโฟกัสแค่จุดที่ตนเองไม่ต้องการ โดยไม่สนเลยว่านั่นมันคือสิ่งที่ฉันชอบ
ซึ่งก็คือ ‘การแข่งรถ’ ฉันมักจะทะเลาะกับป๊าเพราะเรื่องนี้ตลอด อย่างว่า...หากเป็นอะไรที่ท่านไม่เห็นดีเห็นงามด้วยย่อมดูขวางหูขวางตาไปเสียทุกอย่าง
“คุณหนูเอวาจะรับมื้อเย็นก่อนไปสนามแข่งมั้ยครับ” นับว่าโชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีบอดี้การ์ดคนสนิทที่คอยใส่ใจ และดูแลความรู้สึกฉันได้ดีกว่าผู้เป็นพ่อ
ฉันนับถือ ‘พี่กัส’ เหมือนพี่ชายคนหนึ่ง และก่อนที่เขาจะเข้ามาทำงานเป็นบอดี้การ์ดพี่กัสเคยช่วยเหลือฉันเอาไว้ ไม่ให้ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ฉุดไปทำมิดีมิร้าย
อันที่จริงฉันคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้มาพบเจอกันอีกด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากป๊ารู้เรื่องนี้เข้าก็เลยคัดเลือกลูกน้องที่ไว้ใจได้ รวมถึงมีฝีมือในการต่อสู้เพื่อมาเป็นบอดี้การ์ดคอยตามประกบฉัน
ด้วยความที่วันนั้นฉันไปแอบดูพอดี แล้วพบกับใบหน้าที่คุ้นเคยจึงรีบเดินเข้าไปบอกป๊าว่าพี่กัสคือคนที่ช่วยฉันเอาไว้ ท่านก็เลยให้ฉันตัดสินใจว่าจะเลือกใครมา แน่นอนว่าฉันย่อมเลือกพี่กัสอยู่แล้ว
เหตุการณ์ในวันนั้นฉันยังคงจำได้ดี ว่าพี่กัสมีฝีมือมากแค่ไหน ดูทรงแล้วเขาน่าจะเคยผ่านการฝึก หรือเคยเป็นบอดี้การ์ดมาก่อน ท่วงท่าการออกหมัดช่างคล่องแคล่วและตอบโต้ได้อย่างว่องไว อีกอย่างหากไม่เก่งจริงคงจัดการกับกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนไม่ได้หรอก แต่ละคนใช่ว่าจะผอมแห้งแรงน้อยเสียเมื่อไหร่ ร่างกายบึกบึนน่ากลัวแถมยังตัวใหญ่กว่าพี่กัสเป็นไหน ๆ
ในตอนนั้นฉันเพิ่งจะอยู่มัธยมต้นจึงช่วยอะไรเขาไม่ได้ เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะทำอะไรได้นอกจากหาที่หลบซ่อนและคอยแอบมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ
ส่วนปัจจุบันนี้น่ะเหรอ? หึ...เรียงตัวมาเลยฉันไม่กลัวหรอก เด็กผู้หญิงที่เคยอ่อนแอในวันนั้นมันได้ตายไปแล้ว
“รับค่ะ” ริมฝีปากบางตอบรับ พลางขยับกายลุกลงจากเตียงนอน “พี่กัสลงไปรอข้างล่างเลยนะคะ เดี๋ยววาตามไป”
สองเท้าเดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
“ครับ” ขณะที่ร่างสูงเองก็รับคำอย่างว่าง่าย แล้วจึงเปิดประตูก้าวออกไปจากห้องนอนของฉัน
ครั้นทำอะไรเสร็จเรียบร้อย และเดินลงไปยันชั้นล่างของบ้าน ฉันกลับพบกับสิ่งที่ไม่น่าสบอารมณ์สักเท่าไหร่
“สวัสดีค่ะคุณเอวา” ผู้หญิงที่กล่าวคำทักทายช่างดูไม่คุ้นหน้า ดูทรงแล้วคงไม่แคล้วเป็นเด็กใหม่ของป๊าอีกตามเคย
นี่ก็นับว่าเป็นอีกเรื่องที่ทำให้เราสองพ่อลูกมีปัญหาจนถึงขั้นไม่ลงรอยกัน ถือเป็นเรื่องใหญ่สุดเชียวล่ะ และเชื่อเถอะว่าถ้าใครมาเป็นฉันก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันอย่างแน่นอน
ใครมันจะไปชอบ ที่เห็นว่าพ่อตัวเองพาผู้หญิงเข้าบ้านมาไม่ซ้ำหน้า หากถามว่าแม่ของฉันหายไปไหน ตอบได้แค่ว่าอยู่บนสวรรค์นานแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันเรียนอยู่ประถมด้วยซ้ำ
ทว่ายังคงจำได้ดีว่าม๊าเป็นผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อมมากแค่ไหน ดีเสียจนพอจากไปก็ทำให้ป๊าถึงกับเสียศูนย์ หนักขนาดที่ว่าพยายามหาผู้หญิงที่เหมือนกับม๊า ทั้งหมดที่ทำล้วนแล้วแต่ต้องการให้คนมาแทนที่ผู้หญิงที่ตนรักมาก กระนั้นท่านไม่เคยถามความสมัครใจจากฉันสักคำ
หากถามก็คงตอบอย่างหนักแน่นว่าฉันไม่มีทางยอมให้ใครมาแทนที่ม๊าได้ ต่อให้จะเหมือนกันยิ่งกว่าร่างโคลน ฉันก็จะไม่ยอมโดยเด็ดขาด
ม๊าจะอยู่ในหัวใจ และอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะได้เข้ามาแทนที่
“เอากองไว้ตรงนั้นแหละ” ไม่สนใจอยู่แล้วว่าใครจะมองยังไง ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ
ต่อให้ป๊าจะยืนอยู่ตรงหน้าฉันก็จะทำตัวแบบนี้…
“เอวา พูดให้มันดี ๆ หน่อย ป๊าไม่เคยสอนให้หนูทำตัวเสียมารยาทกับคนอื่นแบบนี้นะ” ดวงตาคมดุดันมองสบตาฉันในเชิงตำหนิ พร้อมพูดเอ็ดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ป๊าเคยสอนด้วยเหรอคะ?” จ้องเขม็งไปที่ท่าน พลางย้อนถามกลับอย่างไม่นึกกลัว
ต่อให้คนอื่นจะรู้สึกกลัวป๊าจนหัวหดขนาดไหน ทว่าฉันกลับไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้งเดียว เพราะยังไงท่านคงไม่กล้ายกปืนขึ้นมาจ่อศีรษะฉันเหมือนอย่างที่ทำกับคนอื่น ๆ หรอก
“เอวา!” ระดับน้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าวขึ้นตามอารมณ์
“ท่านคะ ไม่เป็นไรค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างป๊ารีบยกมือขึ้นจับแขนท่านเพื่อห้ามปราม
จะรับบทเป็นคนดีสินะ? ฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว การแสดงของผู้หญิงทุกคนที่เคยมาเหยียบบ้านหลังนี้ในฐานะผู้หญิงของป๊า ก็จะรอดูแล้วกันว่าจะดีไปได้นานแค่ไหน
“คุณหนูครับ เชิญที่ห้องอาหาร” พี่กัสเดินตรงเข้ามาหา เขาคงได้ยินเสียงป๊าที่ตะคอกใส่ฉัน
“ค่ะ” ดูแล้วป๊าคงพาผู้หญิงคนนี้มารับประทานมื้อเย็นที่บ้านเหมือนกัน ดังนั้นฉันจะพลาดได้อย่างไรกัน
ฉันเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องอาหารขนาดกว้าง บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมายที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเตรียมพร้อม
ฉันไม่เดินเข้าไปนั่งโดยทันที แต่ให้ป๊ากับผู้หญิงคนนั้นนั่งลงก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปหยุดยืนที่เก้าอี้ด้านข้างร่างบาง
พี่กัสเลื่อนเก้าอี้ให้ฉันนั่งโดยไม่ถามอะไร แม้ว่าที่ตรงนี้จะไม่ใช่ที่ประจำของฉันก็ตามแต่ กระนั้นป๊ากลับมองมาทางฉันด้วยสีหน้าฉงนที่เห็นว่าฉันเลือกนั่งข้างผู้หญิงของตน
โดยปกติหลายคนคงไม่ชอบที่จะอยู่ใกล้คนที่ตนเองเกลียด แต่สำหรับฉันแล้วยิ่งเกลียดยิ่งอยากอยู่ใกล้ เพราะจะได้กำจัดอย่างง่ายดาย
ใกล้มือใกล้เท้าสิยิ่งดี…
“ทำไมถึงไปนั่งตรงนั้นเอวา” ว่าแล้วป๊าต้องถามคำถามนี้ “ย้ายกลับมานั่งข้างป๊า”
ฉันต้องทำตามที่ป๊าออกคำสั่งเหรอ? ไม่มีทาง กลัวว่าฉันจะลุกขึ้นบีบคอผู้หญิงคนนี้หรือยังไง หวาดระแวงลูกสาวตนเองมากไปหรือเปล่า
“แล้วตรงนี้มีใครเขียนชื่อจองไว้เหรอคะ ทำไมถึงนั่งไม่ได้” ริมฝีปากบางขยับถามพร้อมรอยยิ้มหวาน “หนูก็แค่อยากทำความรู้จักกับผู้หญิงของป๊าบ้างไม่ได้เลยเหรอ?”
“แต่เมื่อกี้ลูกไม่ได้ทำเหมือนอยากจะรู้จักเธอเลยนะ”
“ความรู้สึกของคนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้เสมอค่ะ ป๊ากำลังไม่ไว้ใจหนูอยู่สินะ” ละครฉากหนึ่งกำลังถูกฉันแสดงให้ป๊าได้ดู
“ป๊าไม่ได้คิดอย่างนั้น จะนั่งก็นั่งไปเถอะ” ความคลางแคลงใจเลือนหายไปจากใบหน้าของท่าน “กินข้าวกันได้แล้ว”
“คุณชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” ฉันหันไปถามคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“อาหารไทยค่ะ” คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ฉันยกยิ้มมุมปาก
ป๊าก็ยังคงเลือกผู้หญิงที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กับม๊า
“คุณเป็นลูกครึ่งหรือเปล่าคะ” ฉันยังคงตั้งคำถาม โดยมีสายตาของป๊าคอยลอบมองตลอด
“ไทยกับจีนค่ะ พ่อเป็นคนจีนส่วนแม่เป็นคนไทย” ผู้หญิงคนนั้นตอบ พร้อมกับอธิบาย
ความแตกต่างเห็นทีจะมีตรงจุดนี้ เพราะม๊าของฉันเป็นไทยแท้ไม่ได้มีเชื้อสายอื่น ส่วนป๊ามีหลายเชื้อชาตินับไม่ถ้วน แต่หลัก ๆ ก็จีน มาจากตระกูลเก่าแก่ก็แบบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเป็นทองแผ่นเดียวกัน
แต่น้อยคู่ที่แต่งงานเพราะความรัก ส่วนมากมักจะแต่งเพราะผลประโยชน์ ซึ่งแน่นอนว่าคู่ของป๊ากับม๊าคืออย่างแรก ไม่งั้นป๊าคงไม่เป็นเอามากขนาดนี้หลังจากที่ม๊าจากไป
“วาถามมากไปหรือเปล่าคะ” ฉันแทนตัวเองด้วยสรรพนามที่ดูสนิทสนม จะแสดงทั้งทีก็ต้องเล่นให้แนบเนียน
“ถามได้เลยค่ะ ไม่เป็นไร” ดูท่าทางเรียบร้อยเชียว ถ้าหากฉันทำบางสิ่งให้เธอจดจำ ฉันจะกลายเป็นคนใจร้ายไหมนะ
“งั้นคำถามสุดท้ายแล้วกันค่ะ” เพราะฉันก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้นาน ๆ เหมือนกัน “บนโต๊ะนี้คุณอยากกินเมนูไหนมากที่สุดคะ”
“เลือกยากจังเลยค่ะ” ที่เธอพูดออกมาแบบนั้น เพราะอาหารตรงหน้าล้วนเป็นอาหารไทยทั้งสิ้น
“ป๊าช่วยเลือกมั้ยคะ?” ฉันหันไปถามผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
“ให้ไลลาเลือกเลย” นี่คงจะเป็นชื่อของเธอ เหตุผลที่ฉันไม่ถามเพราะไม่อยากทำความรู้จักกับผู้หญิงคนนี้อย่างที่ปากว่า
“อย่างนั้น…ขอเลือกต้มยำกุ้งแล้วกันค่ะ”
“แน่ใจนะคะ?” ฉันถามย้ำอีกครั้ง รู้ดีว่าพ่อครัวที่บ้านทำเมนูอาหารไทยได้ถึงเครื่องราวกับเป็นสูตรต้นตำรับ
“ค่ะ” เธอยังคงยืนยันคำเดิม โดยไม่ล่วงรู้ชะตากรรมของตนเองเลยสักนิดว่าหลังจากนี้จะพบเจอกับอะไร
“มันจะเผ็ดไปหรือเปล่าคะ เอาแกงเขียวหวานดีกว่ามั้ย” อยากให้โอกาสไลลาได้ตัดสินใจอีกครั้ง แต่ถ้าเธอไม่รับอันนี้ก็ช่วยไม่ได้
“ฉันชอบอะไรเผ็ด ๆ ค่ะ” แบบนี้เองสินะ เดี๋ยวได้แสบจนต้องร้องขอชีวิตแน่ ๆ
“จัดไปค่ะ” ฉันรับคำทันที พลางผุดลุกขึ้นยืนเพื่อเอื้อมมือไปคว้าถ้วยต้มยำกุ้งที่กำลังร้อนอยู่หน่อย ๆ
พรวด!
“กรี๊ดดดด”
“เอวา ลูกทำแบบนี้ทำไม!!”
ทั้งเสียงกรีดร้อง และเสียงตะคอกของผู้เป็นพ่อดังขึ้นประสานกัน หลังจากที่ฉันจัดการเทต้มยำกุ้งราดลงบนศีรษะของไลลา เธอลุกขึ้นกระโดดเร่า ๆ เพื่อสะบัดสิ่งเหล่านั้นออกจากร่างกาย
เป็นเหตุให้กุ้งตัวใหญ่กระเด็นมาอยู่ตรงปลายเท้าของฉัน และจังหวะที่พ่อกำลังเดินอ้อมมาเพื่อเล่นงาน สองเท้าก็รีบกระโดดขึ้นเหยียบเก้าอี้ และปีนข้ามขึ้นไปยืนบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะกระโดดลงไปยืนบนพื้นอีกฝั่ง ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของลูกน้องป๊าที่ยืนอยู่รอบ ๆ จะมีก็แต่พี่กัสที่ยังคงแสดงสีหน้านิ่งเรียบแบบเดิม
“เซอร์ไพรส์~” เอ่ยพลางหัวเราะร่าอย่างสะใจในสิ่งที่เพิ่งกระทำลงไป “การแสดงจบลงแล้ว ขอบคุณที่รับชมนะคะป๊า ขอตัวก่อนนะคะ บ๊ายบาย”
ฉันหมุนตัวเตรียมชิ่งออกไปจากตรงนี้ โดยมีพี่กัสตามหลังมาติด ๆ
“มัวแต่ยืนบื้อกันอยู่ทำไม จับเอวาไว้สิวะ!!” ป๊าเกรี้ยวกราดใส่ลูกน้อง พร้อมออกคำสั่ง
“ไปเร็วพี่กัส” ฉันรีบคว้ามือหนา พลางฉุดรั้งให้เขาวิ่งตาม “ใครกล้าจับฉันระวังจะกลายเป็นศพ”
ดวงตากลมโตตวัดมองคนที่เข้ามาใกล้เขม็ง อีกฝ่ายชะงักไปนิดหนึ่งอย่างลังเลว่าจะฟังคำสั่งของใครดี แต่ก่อนที่จะทันได้ตัดสินใจ ฉันกับพี่กัสก็รีบพากันวิ่งขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหน้า ซึ่งทำให้รอดจากการจับกุมของลูกน้องป๊าได้อย่างหวุดหวิด
นับว่าโชคดีที่พี่กัสเอารถมาจอดรอตรงนี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงโดนป๊าเล่นงานเป็นแน่ ไว้ให้ท่านอารมณ์เย็นลงก่อนค่อยกลับมาบ้านแล้วกัน
“สะใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ร่างสูงข้างกายที่กำลังขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยความเร็วเอ่ยถาม
“ขนาดนั้นเลยค่ะ” ยอมรับตามความจริง
“คุณหนูไม่ต้องลงมือเองก็ได้ ขอแค่บอกผม” พี่กัสรู้ใจฉันดีในทุก ๆ เรื่อง และเขาก็รู้ด้วยว่าที่ฉันทำไปทั้งหมดเพียงเพราะอะไร
ใครที่คิดจะเข้ามาแทนที่ม๊าต้องข้ามศพฉันไปก่อน ตราบใดที่ฉันยังอยู่ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ…
“ไม่เป็นไรค่ะ วาอยากหาอะไรสนุก ๆ ทำอยู่พอดี” ตอนนี้อารมณ์ดีแล้ว ฉันสามารถไปแข่งรถได้อย่างสบายใจ
อันที่จริงการทำร้ายคนอื่นมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้หญิงคนนั้นมายุ่งกับครอบครัวของฉันก่อน บางทีคงไม่ได้มาดีด้วยซ้ำ เหมือนอย่างผู้หญิงของป๊าก่อนหน้าหลาย ๆ คน ที่เข้ามาเพื่อหวังเงินทอง และหวังเกาะเป็นปลิงดูดเลือด ที่ฉันทำก็เพื่อปกป้องครอบครัวไม่ให้สูญเสียอะไรไปมากกว่านี้ต่างหาก
ดวงตากลมโตทอดมองออกไปยังกระจก เพื่อมองทิวทัศน์ด้านข้างที่รถยนต์เคลื่อนผ่าน ไม่นานนักก็เลี้ยวเข้าสู่สนามแข่งรถชื่อดัง
ฉันเปิดประตูก้าวลงจากรถหลังจากจอดสนิท เพื่อตรงไปยังตึกสำนักงานสูงลิ่ว ก็ต้องเตรียมตัวกันก่อน จะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปแข่งเลยมันก็ไม่ได้
ครั้นเดินไปถึงหน้าลิฟต์ บานประตูก็กำลังเคลื่อนปิดพอดี จนพี่กัสต้องรีบยื่นนิ้วไปกดปุ่มค้างไว้ บานประตูเปิดออกอีกครั้ง
“ขอไปด้วยนะคะ” ฉันก้าวเข้าไปในลิฟต์ และพบกับผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง
ทั้งรูปร่างและหน้าตาของเขาทำให้ฉันถึงกับหันไปมองซ้ำอีกรอบ ทั้งชีวิตก็เจอผู้ชายหล่อมาเยอะ แต่ไม่มีใครทำให้ฉันรู้สึกสะดุดตาได้เท่าเขา แล้วส่วนสูงนั่นจะสูงแข่งกับเสาไฟหรือเปล่า
แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ท่าทางของเขาดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ นอกจากจะไม่พูดด้วยแล้วยังยกหลังมือขึ้นปิดจมูก ก่อนจะรีบก้าวเดินออกจากลิฟต์ไป ทิ้งให้ฉันและพี่กัสมองตามหลังด้วยสีหน้างงงวย
“เขาเหม็นอะไรหรือเปล่าครับ” เมื่อพี่กัสโพล่งถามขึ้นมาแบบนั้น ฉันถึงกับต้องก้มดมกลิ่นกายตัวเองเพื่อพิสูจน์
ก็มีแค่ฉันที่ยืนอยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้นมากที่สุด จะว่าไปแล้วพอมานึกดูดี ๆ ฉันลืมฉีดน้ำหอมมานี่นา
“มาจากวาหรือเปล่าคะ พี่กัสลองดมดูให้หน่อย” ฉันขยับเข้าไปหาพี่กัสในระยะประชิด ใกล้ขนาดนี้ถ้ากลิ่นมาจากฉันต้องรู้สึกกันบ้างล่ะ
“ไม่นะครับ”
“โกหกหรือเปล่าคะ”
“จริง ๆ ครับ” ร่างสูงตรงหน้ายืนยันคำเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเก่า
แล้วผู้ชายคนนั้นเขาเป็นอะไร ลำบากพวกฉันต้องมาตามหากลิ่นที่ทำให้เขาต้องยกหลังมือขึ้นปิดจมูกอีก…
ยามใดที่ร่างกายสัมผัสถูกเกสรดอกไม้ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... เพราะความเมามายเป็นเหตุ จึงทำให้ฉันต้องอยู่บนเตียงกับเขาตลอดทั้งค่ำคืนนั้น คิดว่าจะจบ ทว่าเราสองคนกลับหวนมาเจอกันอีกครั้งในวันหนึ่ง “คุณท้องกับผมเหรอ?” “คุณคิดว่าเครื่องตัวเองฟิตสตาร์ทติดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” .......................................................................................... ชีวิตของฉันซวยมากเลยค่ะคุณกิตติคะ ด้วยความที่เพื่อนงอนกับแฟนก็เลยอยู่ช่วยปลอบใจ พร้อมคอยปรามไม่ให้เพื่อนดื่มแอลกอฮอล์จนเมามายไร้สติ แต่จู่ๆ ก็มีนังตัวดีที่ไหนไม่รู้ส่งคลิปคนรักของฉันซึ่งกำลังนัวเนียกับผู้หญิงคนอื่นมาให้ดู ไป ๆ มา ๆ จึงกลับกลายเป็นว่าเพื่อนต้องปลอบใจฉันแทน อาการเจ็บช้ำหัวใจที่จู่โจมเข้ามากะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ส่งผลให้ฉันกระดกเหล้าเข้าปากรัว ๆ แบบไม่หยุดยั้ง ยังค่ะ...เรื่องยังไม่จบที่ตรงนั้น แฟนเพื่อนตามมารับเพื่อนกลับบ้าน แต่ก็ยังมีน้ำใจพาฉันขึ้นไปห้องพัก ทว่า...ห้องนั้นดันไม่ใช่ห้องของฉันนี่สิ "คุณเป็นใคร เข้ามาในห้องของผมได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้!" ท่าทางของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังเอ่ยปากไล่ฉันดูแปลกตา คล้ายกับกำลังระงับอารมณ์บางอย่าง กระนั้นระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้ฉันไม่อยากสนใจอะไรนอกเสียจากล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง "อะไร? จะแปลงร่างเหรอ? ไปเล่นที่อื่นไปหนู พี่จะนอน" ความเมาเป็นเหตุสังเกตได้ ตื่นขึ้นมานั่นแหละถึงได้รู้ ว่าตนเองถูก 'คนแปลกหน้า' พรากความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว...
ยามใดที่ดวงอาทิตย์ตกดิน นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ค่ำคืนนั้นเขาช่างเร่าร้อน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราล้วนไม่ใช่เพราะความรัก... "ขึ้นชื่อว่าคนดูแลชั่วคราว เธอก็จะได้อยู่แค่ในสถานะนั้น อย่าใฝ่สูง" .......................................................................................... ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแล 'ผู้ชายคนหนึ่ง' ทว่าของแถมที่พ่วงติดมาด้วยนั้นคือเรื่องราวน่า 'ประหลาด' ซึ่งเป็นเหตุทำให้ชีวิตของฉันต้องพลิกผันไปตลอดกาล "คุณซานเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" การเห็นเจ้านายแสดงท่าทีราวกับทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้า จึงไม่นิ่งนอนใจที่จะเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมขยับก้าวเข้าไปเพื่อช่วยพยุง "ออกไป!" ทว่าร่างสูงตรงหน้ากลับตะคอกใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หนำซ้ำยังสะบัดตัวฉันออกจนเซถลาเกือบล้มลงกระแทกพื้น "ออกไปจากห้องฉัน...เดี๋ยวนี้!!" หากย้อนเวลากลับไปได้ คืนนั้นฉันจะเชื่อฟัง และยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี...
ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า "ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร" เด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ในวันนั้น คือคนที่ผมต้องสยบจวบจนถึงทุกวันนี้... ........................................................................ ฉันไม่รู้ว่าเริ่มชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพอได้ชอบฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกเลย... วินาทีแรกที่เจอกัน 'เขา' ทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่พอนานวันเข้า เขากลับเป็นคนที่สอนให้ฉันรู้จักคำว่า 'ความรัก' "ถ้าโตขึ้นแล้วมีผู้ชายมาชอบหนู แด๊ดดี้จะทำยังไงคะ?" "ฆ่ามัน" ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ พอโตมาถึงได้รู้ ว่าฉันจะต้องเป็นของแด๊ดคนเดียวตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...
"มาโรงพยาบาลวันนี้ป่วยเป็นอะไรอีกล่ะคะ" "พอดีกินข้าวไม่ค่อยได้น่ะครับ" "หืม? มีอาการอาเจียนด้วยหรือเปล่าคะ หรือว่ายังไง" "เปล่าครับ แค่ไม่มีตังค์" "..." "ถ้าคุณพยาบาลไม่รังเกียจ ผมขอฝากท้องไว้สักมื้อนะครับ" "คุณท้องเหรอคะ?" ........................................................................ "ถ้านายทำร้ายฉัน ฉันจะโทรไปฟ้องพี่" ฉันรู้ว่าคำขู่ของตัวเองมันอาจจะไม่ได้ผล เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าปูนซีเมนต์ หมายถึงทนมือทนตีนน่ะนะ "ฟ้องมากๆ ระวังโดนตบด้วยปากและกระชากด้วยลิ้นนะ" นอกจากจะเป็นผู้ชายที่กวนตีนแล้ว ความหื่นของเขาก็มีมากเช่นกัน หมดเรี่ยวแรงไปเท่าไหร่แล้วกับผู้ชายพันธ์นี้...โปรดอยู่ให้ห่างแล้วชีวิตจะปลอดภัย
เคยได้ยินคำว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้หรือเปล่า? และฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาหากินในที่ของฉัน แต่ 'มัน' เสือกทำ "ไม่ใช่เด็กถิ่นเช็คอินได้เปล่า" ด้วยความที่โชคชะตามันโหดร้าย จึงทำให้เราสองคน 'ได้' กัน ........................................................................ สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือความเจ้าชู้ แต่แล้ววันหนึ่งฉันกลับกลายทำตัวเป็นแบบนั้นซะเอง เหตุการณ์ที่พบเจอมันบีบบังคับให้ฉันต้องร้าย ต้องแรง และ...อยู่ให้เป็น "นี่ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นของเด็ก กลับบ้านไปดูดนมนอนไป๊!" วาจาที่พ่นออกมาจากริมฝีปากหนาเป็นอะไรที่ฉันรังเกียจพอๆ กับการเห็นหน้า 'คนพูด' "ก่อนไป ขอเตะปากทีดิ" เท้าของฉันมันกำลังกระตุก เมื่อหูได้ยินอะไรที่ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ เขาว่ากันว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เห็นทีว่ามันจะจริง...
"ถ้านายยังทำนิสัยแบบนี้ สักวันนายจะไม่เหลือใคร" ร่างเล็กพูดบอกผมออกมาด้วยแววตานิ่งๆ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและเพรียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ถ้าเปรียบเธอเป็นที่สูง ผมก็คงเป็นที่ต่ำ ผมอยากจะไขว่คว้าเธอ แต่มันก็เกินเอื้อม เพราะคนเลวๆ อย่างผมมันไม่มีค่าที่จะคู่ควรกับเธอ "ถ้าฉันเป็นคนดีแล้วเธอจะรักฉันได้มั้ย" ผมลองย้อนถามกลับไป เธอยังคงยืนนิ่งก่อนที่จะเดินออกไปโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรผมทั้งนั้น ไม่ว่าผมจะเป็นยังไงสุดท้ายเธอก็ไปอยู่ดี ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ประโยคนี้มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผม ไม่ว่าจะทำตัวดีแค่ไหน สุดท้ายก็เหี้ยในสายตาของเธออยู่ดี...
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!