ลู่เหยาได้แต่งเป็นถึงฮูหยิน แต่กลับไม่ได้รับความรักจากสามี แถมยังทิ้งตัวเองและลูกไปถึงสามีปี จนทำให้นางต้องตายอย่างอนารถ ต้องทิ้งบุตรชายไว้เพียงลำพัง เมื่อฟื้นขึ้นมาใหม่ชีวิตนางก็ไม่พ้นที่จะสกุลจางอีกแถมยังต้องแต่งเข้าในฐานะอนุ งานนี้นางยอมกลับไปเพื่อบุตรชายเพียงคนเดียวที่ทิ้งเอาไว้ พร้อมกับเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง เกิดใหม่คราวนี้ฮูหยินแสนดีไม่มีอีกแล้ว ข้าจะกลายเป็นอนุที่ร้ายกาจ ************** จบดีค่ะ
ในฤดูใบไม้ผลิของศักราชที่สองร้อย รัชศกชุ่นเหลียน
บ้านเมืองเกิดการผันแปรทางด้านสภาพอากาศ ทำให้ฤดูต่าง ๆ ผกผัน ยามร้อนก็แทบทำให้ทุกอย่างละลายได้ในบัดดล โดยเฉพาะทางภาคตะวันตกของรัฐเถินอิง และในฤดูที่หนาวเหน็บ กลับยาวนานยิ่งกว่าเดิม แม้แต่ไม้ฟืนก็ยังเป็นของล้ำค่า
หากจะพูดถึงฝั่งตะวันออกที่อยู่ติดกับแม่น้ำใหญ่และทะเลกว้าง กลับมีคลื่นพายุโหมกระหน่ำมิหยุดยั้ง ไม่เว้นแต่ละปี จนชาวบ้านชาวเมืองตกระกำลำบากกันไปถ้วนหน้า จนต้องอัญเชิญซินแสเทวดา ซึ่งมีญาณหยั่งรู้ไปจนถึงขั้นเง็กเซียนบนสรวงสวรรค์ ให้ทรงอวยพรแก่ใต้หล้า อย่าได้ประสบกับภัยพิบัติแบบนี้อีกเลย
หลังจากการทำพิธีเกิดขึ้น มีหลายอย่างที่สงบลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฤดูหนาวเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่า มันถูกคำสาปเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น
เวลาผ่านไปหลังจากนั้นยี่สิบปี
ในเมืองถี่อาน ซึ่งไม่ได้เป็นเมืองที่ใหญ่นัก แต่มีร้านค้ามากมายให้เลือกชมของซื้อของขาย บรรยากาศในเมืองนี้ช่างคึกคักโดยเฉพาะวันนี้
เมื่อตระกูลจางที่มีชื่อเสียง ได้ทำการสู่ขอบุตรสาวที่งดงามจากตระกูลเสิ่น ให้แต่งงานเข้าพิธีมงคลสมรสกันระหว่างสองตระกูล วันนี้บนถนนหนทางเลยมีขบวนแห่ ที่จัดกันอย่างคึกคักทั่วทั้งสองข้างทาง ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ต่างก็มาเข้าร่วมขบวนแห่เจ้าสาวกันอย่างล้นหลาม
ขบวนเกี้ยวสีแดงที่สวยงามนั้น กลับพากันโดดเด่นอยู่กลางถนนหนทางหนึ่งหลัง มีเกี้ยวหลังสีแดงสดหลังใหญ่ ขบวนแห่มีม้าเดินอยู่รอบด้าน รวมทั้งเหล่าคนที่คุมม้าและขบวน ก็ล้วนอยู่ในชุดมงคล แสดงถึงงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
“ทุกคนช่วยถอยห่างออกไปหน่อย ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวกำลังเดินทางอยู่ นี่เจ้าหนู หลีกไปเดี๋ยวนี้เลย!”
เสียงคนคุมม้าคือพ่อบ้านของตระกูลจาง ซึ่งนำหน้าขบวน เขานำทางไปยังบ้านเจ้าบ่าว ได้ว่ากล่าวเด็กน้อยที่กำลังสงสัยว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในบ้านหลังเล็กสีแดงตรงหน้า
“พี่สาว ๆ ท่านช่างงดงามจริง ๆ”
เด็กน้อยเอ่ยทักเจ้าสาวจากริ้วขบวน นางส่งยิ้มให้เล็กน้อย เป็นเพราะการแย้มใบหน้าออกมานิดหน่อย จึงทำให้เสิ่นลู่เหยา เห็นว่าภายนอกนั้น มีผู้คนเดินตามขบวนเกี้ยวมากขนาดไหน
“ดีจังเลยที่มีงานมงคลเกิดขึ้นกับตระกูลจาง ช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ เหมาะแก่การเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างยิ่งเห็นทีข้าคงต้องไปแต่งตัวสวย ๆ เพื่อเข้าร่วมงานมงคลในครั้งนี้เสียแล้วสิ”
เสิ่นลู่เหยา ได้ยินเสียงผู้คนพูดกันหนาหู ว่าคุณชายตระกูลจางช่างโชคดี ที่ได้แต่งงานกับหญิงสาวที่เพียบพร้อม
“ได้แต่งบุตรสาวตระกูลเสิ่นเข้าจวนเป็นฮูหยิน อีกทั้งเจ้าบ่าวยังสง่าผ่าเผย ช่างเหมาะสมกับคุณหนูตระกูลเสิ่นยิ่งนัก น่าอิจฉาคุณชายของตระกูลจางจริง ๆ เลย”
แต่สำหรับเสิ่นลู่เหยานั้น ข่าวนี้ไม่ได้ทำให้นางชอบใจแต่อย่างใด หากมิใช่การหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก เสิ่นลู่เหยาคงได้เลือกชายหนุ่มที่นางรักและชื่นชม หาใช่จางฮุ่ยเฉินคนนี้
เดิมทีตระกูลจางและตระกูลเสิ่นนั้นเป็นคู่ค้าสำคัญในการค้าผ้าไหม และส่งออกสินค้าจากมณฑลทางภาคตะวันตกของแคว้น ไปจดดินแดนสิ้นสุดทะเลทรายกว้าง ตระกูลเสิ่นนั้นจะนำสินค้าในแคว้นและต่างเมือง ไปให้ตระกูลจางซึ่งเป็นนักเดินทางในการค้าขาย และตระกูลจางก็นำสินค้าใหม่จากต่างแดน กลับมาขายยังแคว้นที่รุ่งเรืองแห่งนี้
นับว่าทั้งสองตระกูลนั้นเกี่ยวดองกันยิ่งนัก เมื่อความสัมพันธ์ทางการค้างอกเงย ความรู้สึกอยากปรองดองทางสายเลือดจึงเกิดขึ้น บิดาของทั้งสองจึงทำสัญญากันขึ้น ว่าเมื่อใดที่ทั้งสองตระกูลมีบุตรชายและบุตรสาวในเวลาไล่เลี่ยกัน จะต้องนำทั้งคู่มาแต่งงานกันเมื่อถึงเวลาอันสมควร
เพื่อการสืบเชื้อสายของคนที่เก่งกล้า มีความปราดเปรื่องในสติปัญญา และความสามารถด้านการค้าขาย ที่ไม่เคยเป็นรองใครในใต้หล้านี้
ตระกูลจางจึงมีตราประทับเป็นนกอินทรี ที่มีสายตากว้างไกลเป็นสัญลักษณ์ของตระกูล ส่วนตระกูลเสิ่นนั้นก็มีม้าศึกสามตัว เป็นตราประทับของตระกูล เพื่อบ่งบอกในเชิงนามธรรมว่าพวกเขานั้นเป็นนักเดินทางที่มีความรวดเร็วอดทน และเฉียบแหลมเกินผู้ใดด้วยเช่นกัน
เสิ่นลู่เหยาเคยได้ยินบิดาเล่ามาเช่นนั้น นางนึกถึงภาพคุณชายจางฮุ่ยเฉินในตอนนี้ ว่าเขานั้นจะรู้สึกเช่นไร หากได้ยินคำบอกเล่าจากนิทานเรื่องนี้เหมือนกัน หรือไม่ เขาจะยินดีหรือรันทดใจกันแน่ที่ได้แต่งงานกัน ซึ่งนางก็มิอาจรับรู้
เสิ่นลู่เหยาแค่เพียงทำตามความปรารถนาของตระกูล นางเองก็ถูกพันธนาการด้วยด้ายสีดำ ที่มิอาจดึงออกจากตัวได้ นางจึงยอมรับมันโดยปริยาย
“ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวแห่งตระกูลเสิ่นได้มาถึงแล้ว ทุกท่านได้โปรดถอยออกมาจากบริเวณลานดอกเหมยด้วยขอรับ”
เสียงพ่อบ้านคุมขบวนกล่าวเตือนผู้คนอีกครั้ง เขาลงจากหลังม้า พร้อมสั่งการให้ขบวนเกี้ยวแห่เจ้าสาวไปยังหน้าพิธีของงาน
หลังจากที่เกี้ยวเจ้าสาวลงจอดนิ่งสนิท สาวใช้ของตระกูลจางสี่นาง ต่างเดินเข้ามารับเจ้าสาวให้ออกมาจากที่ตั้งด้านใน พร้อมกับนำฝ่ามือให้เจ้าสาวได้เกาะเกี่ยว และดึงรั้งชายผ้าชุดโคร่งที่ยาวจรดพื้นดินให้ยกขึ้น
เจ้าสาวอยู่ในชุดคลุมยาวสีแดง หลังจากนั้นจึงนำสายสะพายซึ่งประดิษฐ์ด้วยผ้าสีแดงมาคาดให้ ก่อนจะส่งมือเจ้าสาวไปให้เจ้าบ่าวรับไว้เพื่อเดินนำไปสู่โต๊ะใหญ่กลางงาน ซึ่งมีก้านธูป เทียนมงคล และสุรามงคล ตั้งอยู่เต็มทั้งสองฝั่ง เจ้าสาวและเจ้าบ่าวต้องกราบใหว้ฟ้าดิน และบรรพบุรุษตามประเพณี
เสิ่นลู่เหยากะพริบตาอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ในมือนางถือธูปที่จุดขึ้นยกจรดปลายคาง พลางมองไปตรงหน้าเพื่อไหว้สามี เขามิได้เห็นใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีแดงสองชั้นนี้
“คู่บ่าวสาวกราบไหว้ฟ้าดินก็เป็นอันเสร็จพิธีในครั้งนี้แล้ว ขอให้รักกันยืดยาว มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
เสิ่นลู่เหยาและจางฮุ่ยเฉิน รับสุรามงคลมาจากมือของฝ่ายบิดาของทั้งสอง ผู้อาวุโสก็ได้อวยพรผ่านจอกในมือ ขอให้พวกเขารักกันยืนยง และร่วมทำกิจการค้าขายให้รุ่งเรืองกันต่อไป
“ทุกท่าน เชิญดื่มอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาวในครั้งนี้ด้วย พวกเขาสองคนจะเป็นผู้นำตระกูลรุ่นใหม่ให้แก่ทั้งสกุลจาง และสกุลเสิ่น ขอให้ทั้งสองตระกูงจงเจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้า”
บิดาของจางฮุ่ยเฉิน กล่าวพร้อมกับหันไปพยักหน้ายิ้มแย้มให้แก่ทุกคน และบิดาฝ่ายเจ้าสาวก็ตอบรับความยินดีนี้ด้วยความชื่นมื่น
เมื่อพิธีการเสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาส่งบ่าวสาวเข้าจวนวิวาห์ ซึ่งทางด้านสกุลจาง ได้ตกแต่งห้องแห่งนี้ไว้ด้วยความสวยงามแล้ว
เสิ่นลู่เหยาถูกสาวใช้นำพาไปยังห้องด้านใน จนถึงขณะนี้นางก็ยังอยู่ในผ้าคลุมหน้าเหมือนดั่งเช่นเคย ตามประเพณีแล้ว เจ้าบ่าวต้องมาเปิดผ้าคลุมใบหน้าของเจ้าสาวเอง มิว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน แม้จนถึงเช้าวันใหม่ หากเจ้าบ่าวไม่มา นางก็ต้องทนนั่งอยู่แบบนี้ไปจนกระทั่งพระอาทิตย์อัสดง
แต่หาใช่วันนี้ หลังจากนางเข้าไปได้ไม่นาน เจ้าบ่าวอย่างจางฮุ่ยเฉินก็ติดตามเข้าไป อันที่จริงเขาคิดจะต้อนรับแขกให้จนหมด และร่วมดื่มสุรากับสหายรวมทั้งแขกเหรื่อ แต่ก็ถูกบรรดาชายหนุ่มที่เป็นสหายไล่ต้อน จนตัวเองต้องยอมแพ้ และเข้าไปหาเจ้าสาวด้วยความมึนเมาไม่มากนัก
จางฮุ่ยเฉินเปิดประตูให้แง้มออก เขาเดินเข้าไปในห้องหออย่างแผ่วเบา พลางสายตาก็พิจารณาหญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า เขามองเห็นฝ่ามือเรียวงามผุดผ่องที่ยื่นออกมานอกชายเสื้อ ในใจนั้นคิดว่าเสิ่นลู่เหยาคนนี้ จะเป็นคนที่เขาปรารถนามาโดยตลอดหรือไม่
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้างดงามมาก คุณหนูแห่งตระกูลเสิ่น แต่ข้ามีเรื่องปักใจนิดหน่อยที่อยากจะถามเจ้าก่อนเราจะร่วมอภิรมย์ต่อกัน”
จางฮุ่ยเฉินเอ่ยทักทายนาง ด้วยคำพูดที่เจ้าสาวในผ้าคลุมแดง ก็รู้สึกสงสัย แต่นางยังคิดว่าเขานั้นเริ่มเมามาย จนอาจพูดสิ่งที่ไม่เป็นความอันใดออกมา
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้นางจนหัวใจเต้นระทึก ถึงแม้จะมิได้ใส่ใจว่าเขานั้นคิดเช่นไรกับตน แต่เสิ่นลู่เหยานั้นเป็นหญิงสาวแรกรุ่น ย่อมมีการตื่นเต้นและตระหนกเป็นเรื่องธรรมดา
“ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการทราบเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ หากข้าตอบได้ ก็จะไม่รีรอหรอกเจ้าค่ะ”
นางเอ่ยออกมาด้วยความใสซื่อและเต็มไปด้วยความสัตย์จริง ไม่มีทางเลยที่คนอย่างเสิ่นลู่เหยาจะโกหก นางยังคงนั่งนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงไม้ ที่วันนี้กลางที่นอนนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้มงคลกลีบกระจาย และแสดงความหอมสดชื่นของมันในยามราตรี
“เจ้าคือคุณหนูของตระกูลเสิ่น ชื่อเสิ่นลู่เหยา”
“ข้าอยากรู้เหลือเกิน ว่าในวัยเด็กของเจ้านั้นมีของสำคัญที่อยู่ติดตัวด้วยหรือไม่ ซึ่งมันจะชี้ว่าเจ้านั้นคือคนที่คู่ควรกับข้าเพราะสิ่งนี้เท่านั้น”
“ข้าไม่เข้าใจคำถามของเจ้าคุณชายจาง สิ่งสำคัญของข้านั้นมีหลายอย่าง ทั้งครอบครัว บิดา พี่น้อง และทรัพย์สิน จนกระทั่งสหายที่เติบโตมาด้วยกัน หากท่านจะชี้จุดที่กว้างมากเกินไป ข้าก็จนปัญญาเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบจากเจ้าสาวใต้หมวกผ้าคลุมแดงตรงหน้า จางฮุ่ยเฉินก็ดูจะหงุดหงิดพอตัว
“เสิ่นลู่เหยา ข้าจะใจเย็นกับเจ้าอีกสักนิด คำถามเดิมนั่นที่ข้าส่งไปให้เมื่อครู่ ข้าอยากให้เจ้าตอบใหม่มาอีกครั้ง ที่เจ้าเอ่ยมากันก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เจ้าให้ความหมายกับสิ่งมีชีวิต แต่ที่ข้าต้องการคำตอบจากปากเจ้าในคืนนี้ คือสิ่งที่มิได้มีชีวิตเลยสักนิด แต่มันช่างสำคัญกับข้ายิ่งนัก”
เจ้าสาวอย่างเสิ่นลู่เหยายังคงนั่งนิ่ง ๆ มิได้แสดงอาการหรือความตระหนกออกมาเลย สิ่งที่นางสงสัยอยู่ในขณะนี้ มิได้มีใครให้คำตอบแก่นางได้
การทายปริศนา มันคือธรรมเนียมการปฎิบัติก่อนเข้าห้องหอหรืออย่างไร นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของนางเสียด้วยสิ เรื่องเช่นนี้ก็มิได้มีผู้ใดกระซิบบอกนาง แม้แต่มารดาก็ตาม
“คุณชายจางวางใจได้ สิ่งที่ข้าตอบออกมาคือความจริงทุกประการ และข้าก็ยังยืนยันว่าสิ่งที่มิได้มีชีวิตนั้น หาได้สำคัญกับข้าแต่อย่างใด หากคุณชายจะเค้นหาความจริง ข้าเองก็คงมีเท่านี้สำหรับคำตอบ”
ดูท่าว่าปริศนาในครั้งนี้จางฮุ่ยเฉินจะมิได้รับคำตอบต่อไปเสียแล้ว ความอดทนเขาถึงที่สุดจนได้
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็แน่ใจได้แล้วว่าเจ้ามิใช่คนที่ข้าต้องการ คนที่ข้ารักมิใช่เจ้าอย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มมีความฝังใจกับบางสิ่งบางอย่าง จนมิอาจทำให้เสิ่นลู่เหยาเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ ในเมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้ นางก็เตรียมตัวเอาไว้แล้ว ว่าคงจะมิได้มีการเปิดผ้าคลุมหน้าออก
ช่างน่าละอายเหลือเกิน ที่คุณชายแห่งตระกูลจางผู้นี้รังเกียจนางจนต้องเดินจากไป เสิ่นลู่เหยาอยากรู้จริง ๆ ว่าคนที่ชายหนุ่มปักใจนั้นคือผู้ใด
เสียงฝีเท้าเดินออกไปแล้ว แม้แต่ประตูเข้าห้อง เขาก็มิได้ปิดให้นาง ทำให้ความหนาวเหน็บยามราตรีเข้ามาเยือน จนเจ้าสาวที่ร้างเจ้าบ่าวต้องลุกขึ้นเดินออกมาเหม่อมองไปยังความมืดข้างหน้า
“ข้าจะเป็นคนในใจเจ้าได้อย่างไรเล่าจางฮุ่ยเฉิน ในเมื่อคนที่เจ้าปักใจมิใช่ข้าคนนี้”
เสิ่นลู่เหยาง้างประตูเข้ามาหากัน ก่อนจะปิดมันลงด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ในเมื่อนางเองก็มิได้อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสียหน่อย
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
นราเป็นเพียงหญิงสาวยากชน ต้องทำงานแลกเงินแต่เธอก็มีตุลย์แฟนหนุ่มที่มีฐานะดีคอยช่วยเหลือตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็มีคนที่ดีพร้อมไว้ข้างกายเช่นกัน เพราะรักจึงยอมเลิก เธอจึงเลือกที่จะหอบลูกในท้องจากไปเพื่อให้เขามีอนาคตที่ดีขึ้น ดีกว่าที่จะอยู่กับคนแบบเธอแม้หัวใจจะเจ็บปวดมากเท่าไรก็ตาม
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"