โจชัว โจนส์ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเอิร์ลอันเก่าแก่ในประเทศอังกฤษ บุตรชายซึ่งเกิดจากภรรยาลับของเจคอบ โจนส์ เพิ่งจะถูกนับญาติก็ตอนเมื่อไม่มีใครสืบทอดสมบัติของตระกูล โชคที่เหมือนจะดีนำพาเขาเข้าสู่วังวนพันธะแห่งบาปอันซึ่งตกทอดมาสู่รุ่นต่อรุ่น ในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในผู้สืบสายเลือด เขาก็จำต้องมีชะตากรรมตกอยู่ในห้วงคำสาปโดยที่เขาไม่ได้ก่อ ปริศนาที่คฤหาสน์ประจำตระกูลนั้นเก็บซ่อนอยู่จำเป็นต้องเร่งไขให้กระจ่างก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้ด้วยความช่วยเหลือของ ออแลนโด้ ลอว์เรนซ์ สายสัมพันธ์เสน่หาก่อตัวขึ้นรางๆ ภายใต้เงามืดของภายใต้เงามืดของทูตผู้นำพามาซึ่งคำสาปอาถรรพ์
เสียงบาทหลวงผู้ดำเนินพิธีศพของหญิงวัยกลางคนซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงไม้ตรงหน้า ดังระคนกับเสียงเม็ดฝนโปรยปรายกระทบพื้นหญ้า สร้างความหดหู่ให้กับผู้ร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปี ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของผู้จากไป ดวงตาสีมะฮ็อกกานีฉายแววโศกเศร้าอย่างชัดแจ้ง หากแต่ไม่มีน้ำตาเอ่อคลอให้เห็นสักหยด มีเพียงความสงบนิ่งราวกับเขารับรู้มานานแล้วว่าสักวันก็คงจะมีวันนี้ ...วันที่พระเจ้าพรากบุคคลอันเป็นที่รักไปจากเขาตลอดกาล...
“...ดังนั้นพวกเราจึงมอบร่างกายของเธอสู่พื้นดิน จากดินสู่ดิน จากเถ้าสู่เถ้า จากธุลีสู่ธุลี ในความแน่นแท้และความหวังอันไว้วางใจได้ของการคืนชีพสู่ชีวิตอันชั่วนิรันดร์”
ดินในกำมือถูกโปรยลงไปบนโลงศพเป็นพิธีการสุดท้าย ก่อนเหล่าสัปเหร่อจะช่วยกันกลบฝังร่างแม่ของชายหนุ่มให้หลับใหลภายใต้ผืนดินแห่งนี้ไปตลอดกาล
“เธอกลับคืนสู่อ้อมอกของพระบิดาแล้ว อย่าได้เป็นห่วงไปเลยครับคุณโจนส์”
บาทหลวงผู้ประกอบพิธีเอ่ยเบาๆ กับเขา เรียกให้ ‘โจชัว โจนส์’ หันไปมองใบหน้าเหี่ยวย่นทว่าแฝงด้วยความโอบอ้อมอย่างช้าๆ ก่อนจะตอบรับสั้นๆ
“ครับ ผมก็หวังว่าแม่คงจะสบาย”
“คุณนายเป็นคนดี พระเจ้าต้องรักเธออย่างแน่นอน”
“ครับ”
จริงๆ ก็ตอบรับไปอย่างนั้น เขาไม่มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าด้วยซ้ำไป เว้นเสียแต่ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเช่นแม่ของเขาที่หันหน้าเข้าหาศาสนาอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นใจ จึงทำให้บาทหลวงประจำโบสถ์แห่งนี้สนิทสนมกับครอบครัวมากเป็นพิเศษ ในเมื่อเห็นว่าเป็นความสุขของแม่ในช่วงชีวิตสุดท้าย โจชัวจึงยินยอมให้แม่ทำตามใจโดยไม่มีข้อแม้ เพียงต้องการยืดเวลาให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้นานที่สุดเท่านั้น แต่กระนั้น ร่างกายเธอก็ไม่อาจต้านทานโรคร้ายที่กัดกินดุจปรสิตนี้ได้
“พ่อขอตัวก่อน ไว้เจอกันนะคุณโจนส์”
“ครับ”
โจชัวจ้องมองแผ่นหลังชายชราที่เดินห่างออกไปครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาให้ความสนใจกับหลุมศพของแม่อีกครั้ง เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเพียงก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเธอยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยรู้สึกว่าโลกทั้งใบหันหลังให้เขาเท่ากับวันนี้มาก่อนเมื่อสมาชิกในครอบครัวคนเดียวที่เขามีได้จากไป คนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเขา นึกไม่ออกเลยว่าต่อจากนาทีนี้ชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร เงินสะสมจากการทำงานทั้งหมดก็หมดไปกับค่ารักษาพยาบาล ต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันเพราะความเจ็บป่วยของแม่ ซ้ำร้าย เจ้าของห้องเช่าที่เช่าอยู่ก็ไม่ยอมให้ค้างค่าเช่าอีกต่อไป อาทิตย์นี้ก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายสำหรับการหาที่อยู่ใหม่พร้อมกับหนี้ค่าเช่าก้อนโตที่ต้องสะสาง
ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าควรจะร้องไห้ดีหรือไม่ ในหัวคิดถึงแต่ปัญหามากมายที่วนเวียนเข้ามาอย่างสับสน โดยไม่ทันสังเกตเห็นใครบางคนเดินมาจากข้างหลัง ก่อนเขาจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อน้ำเสียงแหบห้าวเอ่ยขึ้น
“ขอโทษนะครับ คุณใช่โจชัว โจนส์หรือเปล่า”
“อ่ะ...อ๋อ ใช่ครับ”
โจชัวหลุดออกจากภวังค์ ดวงตาปราดมองชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานในชุดสูทสีดำอย่างสงสัยด้วยไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน และค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งเขาและแม่ไม่เคยรู้จักแต่อย่างใด ฝ่ายตรงข้ามพอเห็นสีหน้าสงสัยของชายหนุ่ม ก็รีบล้วงนามบัตรออกจากกระเป๋าเสื้อสูทส่งให้พร้อมกับแนะนำตัว
“ผมคือทนายคอนเนอร์ครับ เป็นทนายประจำตระกูลโจนส์ ตระกูลของคุณพ่อคุณน่ะครับ”
ว่าพลางกระชับร่มสีดำในมืออีกข้างเพื่อดึงไม่ให้กระเป๋าเอกสารซึ่งหนีบไว้ที่สีข้างไหลร่วงลงไป พลางส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“คุณพ่อหรือ”
“ครับ คุณ เจคอบ โจนส์ น่ะครับ”
โจชัวเกือบลืมไปแล้วว่าตนก็มีพ่อด้วย เนื่องจากพ่อของเขานั้นไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดู ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่แม่เท่านั้นที่ทำงานทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูเขาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ก็เคยได้ยินแม่เล่าให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าพ่อนั้นเป็นบุตรหลานของตระกูลเอิร์ล1 เก่าแก่ตระกูลหนึ่งของอังกฤษ เป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาหมายปองซึ่งครั้งหนึ่งเคยคบหากับแม่ของเขาทั้งๆ ที่ตนมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว พอพลาดพลั้งให้กำเนิดเขาขึ้นมา ผู้เป็นปู่จึงบังคับให้แต่งงานและยัดเงินให้แม่เขาก้อนหนึ่งเพื่อให้ตัดขาดจากพ่อด้วยเหตุผลว่าตระกูลโจนส์จะต้องรักษาสายเลือดชั้นสูงเอาไว้ ซึ่งมันไร้สาระมากสำหรับศตวรรษนี้ และเขาเองก็ไม่เคยได้พบพ่อสักครั้งเพราะแม่กีดกัน กระนั้นก็น่าแปลกที่ยอมให้เขาใช้นามสกุลของพ่อ แทนที่จะใช้นามสกุลตามแม่
อย่างไรก็ตาม โจชัวก็ไม่ได้สนใจอะไรมากว่าใครจะเป็นพ่อหรือจะใช้นามสกุลตามใคร นอกเหนือจากอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดจู่ๆ ทนายประจำตระกูลถึงได้มาหาเขาในวันนี้
“แล้วมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
“คุณคงทราบข่าวอุบัติเหตุของคุณโจนส์กับคุณนายโจนส์แล้วสินะครับ”
“อุบัติเหตุหรือครับ”
“ครับ อุบัติเหตุทางรถยนต์ของทั้งคู่เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะครับ”
บอกตรงๆ ว่าจำไม่ได้เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับอาการป่วยของแม่ แต่ก็พอคุ้นหูได้ยินผ่านๆ มาอยู่บ้างว่าพ่อและแม่เลี้ยงประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหลังจากไปพักตากอากาศที่คฤหาสน์ในชนบท สีหน้าท่าทางเหมือนนึกออกของโจชัว ทำให้ทนายคอนเนอร์รีบพูดต่อถึงการมาในวันนี้ของตนทันที
“ที่ผมมาในวันนี้ก็เพราะผมต้องจัดการพินัยกรรมให้กับทายาทผู้มีสิทธิอันชอบธรรมในทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลโจนส์ ซึ่งนั่นก็คือคุณซึ่งเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย นับว่าแม่คุณฉลาดนะครับที่ให้คุณใช้นามสกุลคุณโจนส์แทนที่จะเป็นนามสกุลตัวเอง บังเอิญจริงๆ ที่คุณนายโจนส์ก็เสียชีวิตด้วย ไม่อย่างนั้นทรัพย์สินทั้งหมดคงไม่ตกมาถึงคุณอย่างแน่นอน”
โจชัวหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่าชายตรงหน้านี้พูดไม่เข้าหูเอาเสียเลย หากแต่ไม่ได้พูดโต้ตอบแต่อย่างใด ยืนมองทนายคอนเนอร์ด้วยสายตาว่างเปล่าขณะที่เจ้าตัวยังพูดจ้อไม่หยุด
“เดี๋ยวผมจะแจ้งรายละเอียดทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลให้ฟังนะครับ แต่ตอนนี้ผมว่าเราเข้าไปหลบในที่ร่มก่อนดีกว่า ฝนเริ่มตกหนักกว่าเดิมแล้ว”
คอนเนอร์เชิญชวนก่อนรีบจ้ำเดินไปยังโบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ทิ้งให้โจชัวเดินตามหลังอย่างช้าๆ ฝ่าหยาดฝนโปรยปรายเข้าสู่วังวนแห่งพันธะบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
“ตามที่พินัยกรรมระบุ ทายาทโดยชอบธรรมจะมีสิทธิในทรัพย์สินทั้งหมดของคุณเจคอบ โจนส์ รวมถึงหุ้นส่วนธุรกิจและที่ดินเก่าแก่ของตระกูล ทั้งนี้ ผมในฐานะทนายได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจก่อนชั่วคราวและสอนคุณโจชัวให้รู้วิธีการบริหารภายในระยะเวลาไม่ 3 ปี จากนั้นทรัพย์สินในส่วนนี้จะเป็นของคุณโจชัวโดยสมบูรณ์ สรุปคือคงจะมีแต่พวกหุ้นส่วนนะครับที่ยังไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ขาดให้ทั้งหมดได้”
ทนายคอนเนอร์ว่ายาวพร้อมจัดแจงเอกสารสำคัญต่างๆ ในมือให้เรียบร้อยหลังจากอธิบายสิทธิในทรัพย์สินของตระกูลให้กับทายาทคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ของตระกูลโจนส์เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่ผู้ฟังไม่มีท่าทีสนอกสนใจในรายการทรัพย์สินซึ่งตนเพิ่งได้รับอย่างตกกระไดพลอยโจนสักนิด มีเพียงใบหน้านิ่งเรียบและดวงตาคู่สวยมองจ้องไปยังใบหน้าของชายวัยกลางคนตรงหน้าเท่านั้น
“มีคำถามอะไรมั้ยครับ”
ทนายคอนเนอร์ละมือจากเอกสาร เงยหน้าขึ้นมาถาม เขามองลอดกรอบแว่นตา ประจันสายตาโดยไม่แสดงความประหม่าใดๆ จากดวงตาสีมะฮ็อกกานีนั่นสักนิด
โจชัวเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนตอบ
“ไม่มีครับ”
“โอเคครับ งั้นธุระของผมกับคุณสำหรับวันนี้ก็หมดแล้วล่ะ”
“ขอบคุณที่แจ้งข่าวครับ”
“ยินดีครับ”
โจชัวว่าแล้วละสายตาจากทนายคอนเนอร์ไปกวาดมองประติมากรรมรอบๆ ตัวโบสถ์นิกายโรมันคาธอลิกแห่งนี้ เขาแทบนับครั้งได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมานั้นเคยเข้ามาเหยียบโบสถ์กี่ครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นประติมากรรมสมัยใหม่ แต่มันก็ทำให้คนห่างร้างไกลศาสนาอย่างเขาสนใจได้ไม่น้อย ขณะที่ทนายคอนเนอร์เองก็ชื่นชมความงามบางอย่างอยู่เช่นกัน พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้สำหรับอธิษฐานภายในโบสถ์ บิดตัวแสดงอาการเมื่อยล้าออกมาเล็กน้อย สายตาชำเลืองจับจ้องใบหน้าเรียวสวยได้รูปของชายหนุ่มอย่างชื่นชม ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่านั่นยิ่งขับให้เขาแลดูงามงดราวกับรูปปั้นเทพบุตรกรีกก็ไม่ปาน มีเพียงใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ นั่นแหละที่ไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาสักเท่าไหร่นัก แต่ก็นับว่าโจชัวนั้นมีรูปร่างหน้าตาดีกว่าเจคอบ ผู้เป็นพ่ออยู่มากโข
ดูท่าทางจะได้แม่มาเยอะ
เปรี้ยง!
พินิจพิจารณาความงามของชายหนุ่มตรงหน้าได้ไม่เท่าไหร่ พลันเสียงฟ้าร้องก็ลั่นดังกัมปนาท ทำเอาชายทั้งสองสะดุ้งสุดตัว มองหน้ากันเลิ่กลั่กพลัน ครู่เดียว ทนายคอนเนอร์ก็เป็นฝ่ายแค่นหัวเราะแก้เก้อออกมาก่อนจะพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ
“พายุคงจะเข้าแน่ๆ ดูสิ หลังคาโบสถ์กระทบกันกึงกังเชียว โบสถ์นี่ก็เก่าแล้วด้วย น่ากลัวหลังคาจะพังลงมาเสียจริง”
คำพูดของเขาทำให้โจชัวต้องตั้งใจฟังเสียงเม็ดฝนและกระแสลมแรงซัดหลังคาโบสถ์อย่างตั้งใจ จริงอย่างที่ทนายคอนเนอร์พูด หากอยู่นานกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นหลังคาโบสถ์ทะลุลงมาจริงๆ ก็ได้
“ผมว่าเรากลับกันดีกว่ามั้ย ดูท่าไม่ค่อยดีซะแล้วสิ”
“เอาสิครับ”
โจชัวเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อแม้ ก่อนทั้งคู่จะพากันวิ่งฝ่าพายุฝนบ้าคลั่งออกไปนอกตัวโบสถ์ แม้จะมีร่ม แต่ก็หาได้ช่วยกันอะไรได้มากมายเท่าไหร่นัก ไม่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงยังลานจอดรถ ทนายคอนเนอร์กดรีโมทปลดล็อครถเก๋งคู่ใจ ก่อนยกมือป้องปากตะโกนเรียกชายหนุ่มที่กำลังตั้งท่าจะวิ่งต่อออกไปยังประตูรั้วของโบสถ์
“คุณโจนส์ครับ! ไปด้วยกันสิ เดี๋ยวผมขับไปส่ง!”
โจชัวชะงักขาพลัน หันกลับมาตะโกนบอก “ไม่ต้องหรอกครับคุณคอนเนอร์ สถานีรถไฟใต้ดินอยู่ใกล้ๆ นี่เอง วิ่งไปแป๊บเดียวก็ถึง!”
“เวลาอย่างนี้กว่าจะได้ขึ้นรถไฟ คงต้องฝ่าฝูงคนอีกเยอะ มาเถอะครับ! ผมไปส่งเอง!”
โจชัวยืนพิจารณาครู่เดียวก็ตัดสินใจตอบตกลงพลัน วิ่งย้อนกลับมายังรถของทนายคอนเนอร์ก่อนแทรกตัวขึ้นไปนั่งข้างเบาะคนขับ เนื้อตัวเปียกโชกทำเอาหยดน้ำหยดแหมะในรถราวกับน้ำตกจนโจชัวรู้สึกเกรงใจขึ้นมา
“ขอโทษที่ทำรถคุณเลอะเทอะนะครับ”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกครับ เปียกแค่นี้มันทำความสะอาดได้ แต่ถ้าพินัยกรรมของตระกูลคุณเปียกนี่สิ ผมซวยแน่”
ทนายคอนเนอร์ยิ้มรับอย่างใจดี เขาไม่เป็นห่วงรถตัวเองกับเรื่องแค่นี้หรอก สิ่งที่เขาเป็นห่วงที่สุดคือกระเป๋าเอกสารที่เก็บพินัยกรรมทรัพย์สินมูลค่าหลายร้อยล้านปอนด์มากกว่า ขืนมีเอกสารแผ่นใดแผ่นหนึ่งเสียหายขึ้นมา เขานี่แหละที่จะแย่
เขาใช้ผ้าเช็ดซับหยาดน้ำฝนบนกระเป๋าเอกสารอยู่ครู่ใหญ่จนเสร็จ ก่อนจะนำมันไปวางไว้บนเบาะหลังอย่างเบามือ พลันหันมาติดเครื่องยนต์ ถามคนข้างๆ ถึงที่หมายปลายทาง
“แล้วคุณโจชัวพักอยู่แถวไหนหรือครับ”
“ขับไปตามถนนสายหลักน่ะครับ ใกล้ถึงแล้วผมจะบอกอีกที”
โจชัวไม่บอกสถานที่ชัดเจนด้วยไม่ต้องการให้ทนายคอนเนอร์ถามอะไรจุกจิก เช่นว่าทำไมถึงไปอยู่ย่านนั้น เป็นถึงทายาทเศรษฐีระดับแนวหน้าของประเทศ ทำไมถึงไม่ไปอยู่ที่หรูๆ เป็นต้น ส่วนทนายคอนเนอร์เองก็พอจะเดาใจชายหนุ่มออก จึงไม่ถามอะไรออกไปอีก นอกจากขับรถออกไปตามเส้นทางที่โจชัวบอกเท่านั้น
เมื่อมนุษย์เพศชายเกิดการวิวัฒนาการทางร่างกาย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงสามารถตั้งท้องได้ และเพราะความเมาชนิดหลุดโลกในคืนวันนั้น ‘นภัทร’ เดือนคณะสุดหล่อจึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงว่าตัวเองจัดการรวบหัวรวบหางลากหลืบคณะอย่าง ‘สิงหา’ ไปมี one night stand เป็นที่เรียบร้อย เรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบเมื่อชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น นภัทรหายตัวไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับข่าวลือประหลาดๆ ก่อนสิงหาจะพบว่าต้นเหตุของข่าวลือคือเด็กหญิงตัวน้อยอย่าง ‘น้องณดา’ ที่สิงหาสงสัยเหลือเกินว่าจะเป็นลูกของเขา “ให้เรียกนายว่าพ่อไม่ได้หรอก น้องณดาไม่ได้ลูกของนาย” “งั้นเรียกป๊ะป๋าก็ได้” “ไม่ได้” “แด๊ดดี้” “นี่...พอเลย” “ดาดา” คำเรียกที่หลุดจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยทำเอาคุณพ่อกำมะลอยิ้มหน้าบาน ปฏิบัติการทวงคืนความเป็นพ่อต้องมา ต่อให้นภัทรไม่ยอมรับ งั้นสิงหาก็ขอเข้าทางลูกสาวตัวจิ๋วก็แล้วกัน! รับผมเป็นพ่อของลูกเถอะนะครับ!
เพราะไปตีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่บังอาจเอานิยายเธอมาวิจารณ์หยาบๆ คายๆ ว่างานเธอเชิดชูระบอบปิตาธิปไตย ตามมาด้วยการดูแคลนเหยียดหยามทางเพศสภาพอีกหลายอย่าง ทำเอา ‘อาคิรา’ นักเขียนนิยายประโลมโลกถึงกับเลือดเฟมินิสต์ในกายเดือดพล่าน กล้าดียังไงมากล่าวหาเธออย่างนี้ งานเธอถึงจะเป็นงานประโลมโลก แต่ใช่ว่าจะเชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่สักหน่อย! ต้องตามไปตบตีจนกว่าจะชนะ เถียงแพ้รอบนั้น แต่คนไม่แพ้ ตามหาแอคเคาทน์ของคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เวนไตย’ ไปจนเจอเข้ากับตอจังเบ้อเร่อ โดยหารู้ไม่ว่าเวนไตยคนนี้ หาใช่ไอ้เวรตะไลที่ประนามหยามเหยียดแต่อย่างใดไม่ ทว่าเป็นบรรณาธิการหนุ่มผู้คว่ำหวอดในวงการวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างหาก “ฉันจะทำให้ดูว่างานเขียนฉันมันไม่ได้เชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่!” “งั้นก็ลองเขียนมาดู ผมอยากอ่านเหมือนกัน อยากรู้ว่านักเขียนอย่างคุณจะทำได้ดีสักกี่น้ำ” โดนท้าทายมาถึงกับปรี๊ด คอยดูเถอะ เธอจะเอารางวัลมาฟาดหน้าไอ้เวรตะไลนี่ให้ได้เลย!
“ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” ไม่รู้ว่าส้มหล่นหรือโชคร้ายกันแน่ที่จู่ๆ คุณหนู ‘หยาดฟ้า’ ของตระกูลเศรษฐีเมืองกรุงก็มาถวายตัวยอมเป็นเมียของ ‘ไอ้ดิน’ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น ไอ้ดินค่อนข้างจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ให้งงได้อย่างไร เขาไม่รู้จักมัดจี่กับเจ้าหล่อนนี่ จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะเป็นเมียเขา เป็นใครก็งงทั้งนั้นแหละ! ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าเหตุนี้เกิดขึ้นเพราะหยาดฟ้าถูกบิดาบังคับให้แต่งงาน เธอจึงหนีมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด และได้เจอกับกุลีหนุ่มที่นี่ ประจวบเหมาะกับที่บิดาของเธอโทรมาคาดคั้นให้เธอกลับไปแต่งงานพอดี เธอถึงได้ลั่นวาจานี้ออกมาให้บิดารู้ว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ที่ยินยอมพร้อมใจจะเป็น ‘เมีย’ ของเขาแล้ว หาใช่ผู้ชายที่บิดาจัดเตรียมมาให้ สำหรับไอ้ดิน นี่คงไม่ใช่ส้มหล่นหรอก เป็นคราวเคราะห์เสียมากกว่า เขาจึงรีบบอกปัดหัวขวิด “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! ไอ้ดินปวดขมับตุบๆ ขณะที่หยาดฟ้าเชื้อเชิญเขาเป็นการใหญ่ “แล้วนี่มัวรออะไรอยู่ รีบพาฉันเข้าบ้านสิ จะได้ทำอะไรอย่างที่ผัวเมียเขาทำกัน” เธอรู้หรือเปล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะ!? ไอ้ดินไม่แน่ใจนัก แต่แวบเดียวก็แน่ใจแล้ว เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดึงคอเสื้อให้หน้าอกอิ่มล้นทะลักออกมา ไอ้ดินมองจ้องตาไม่กะพริบ ได้สติมาอีกครั้งก็ตอนที่สาวเจ้าเอ่ยปาก “มาสิพี่ดิน มาเอากัน ฟ้าพร้อมจะเป็นเมียพี่แล้ว” ดูพูดจาเข้า เรียกแทนตัวด้วยชื่อ แทนเขาว่าพี่ชวนให้เอ็นดูอีก! โอ๊ย! ไอ้ดินจะบ้าตาย! เห็นทีเขาคงหนีไม่พ้นการถูกยัดเยียดความเป็น ‘ผัว’ ด้วยฝีมือหยาดฟ้าแล้วล่ะ
เพราะอกหักจากคนที่แอบชอบมานาน ทำให้ ‘ภีม’ พาตัวเองไปในที่อโคจรเพื่อที่จะระบายความเศร้าเสียใจออกไปบ้าง หากทว่าในคืนนั้น เขากลับได้พบกับชายแปลกหน้าอย่าง ‘สุดเขต’ ที่บังเอิญเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งสองเกือบจะลงเอยกันด้วยความสัมพันธ์ข้ามคืน หรือที่เรียกกันว่า One night stand หากทว่าก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เสียก่อน ก่อนที่ภีมจะพบว่าผู้ชายที่เขาได้เจอในคืนนั้น เป็นคนคนเดียวกับคนที่เขาแอบชอบตกหลุมรัก ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ‘ลัก’ ความรักของภีมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดเขตไม่สามารถลืมความน่ารักของภีมลงได้เลย เขาต้องเอามาให้ได้ ทั้งตัวภีม และความรักของภีม จะเอามาให้ได้ทั้งหมดเลยคอยดู!
แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ทว่าปีศาจกวางอย่าง ‘ลู่ลู่’ กลับหาได้พิสมัยการระรานมนุษย์สักเท่าไรนัก สะอาดบริสุทธิ์เสียจนแทบจะลุแก่ตบะแล้ว ทว่า... ชีวิตของเขาก็หาได้สงบสุขอีกต่อไปเมื่อนักพรตปราบปีศาจอย่าง ‘เยี่ยนเฉิน’ หนีตายจากการถูกล่าเพราะดันไปต้มตุ๋นชาวบ้านวิ่งทะเล่อทะล่ามาสลบอยู่หน้าถ้ำ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็หาได้ไร้น้ำใจนัก มอบไมตรีช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน หากแต่เยี่ยนเฉินกลับตอบแทนบุญคุณด้วยการทำให้ชีวิตของลู่ลู่แปดเปื้อนด้วยมลทิน บีบบังคับให้ปีศาจกวางน้อยรวมหัวในแผนต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อเอาคืน! นักพรตจอมกะล่อนผงาด ใช้ชีวิตอย่างสำราญ ขณะที่ปีศาจน้อยถูกจิกหัวใช้ให้ไประรานชาวบ้านไม่เว้นวัน อะไรไม่ว่า เยี่ยนฉินยังขยันลูบหางเล็กๆ ของเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่าตรงนั้นน่ะ...มะ...มัน... ...ทำให้ตัวร้อนผะผ่าวนะ! ต้องมีสักวันที่พลั้งเผลอไปมากกว่านี้แน่ สวรรค์! ลู่ลู่ผู้นี้จะหลั่งน้ำตาเป็นสายโลหิตแล้ว!
หากผู้ใดเชื่อว่าทะเลทรายผืนนี้โหดร้าย ผู้นั้นย่อมเชื่อในสิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่โหดร้ายกว่าผืนทะเลทรายแห้งแล้ง คือกองกำลังโจรทะเลทรายของ 'อัลมิราน' ผู้นี้ต่างหาก โหดร้าย...ชั่วช้า...เลวสามานย์ ดูเหมือนจะเป็นคำสร้อยที่พ่วงท้ายชื่อของโจรหนุ่มนามเลื่องลือไปเสียแล้ว แต่เขาจะสนใจสิ่งใดกัน ในเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าชั่ว เขาก็จะเป็นคนชั่วให้สมดั่งที่ถูกบีบคั้น เพียงเพื่อให้ได้อัญมณีแห่งสุลต่านมาครอบครอง เขาก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว หากแต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์จะนำพาให้เขาพบกับอัญมณีมีชีวิตแห่งทะเลทราย...'จามิล' นักระบำร่อนเร่ผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เพียงได้ชมระบำทะเลทรายของจามิลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หัวใจของอัลมิรานก็ถูกครอบครองไปสิ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวอเวจีแสนหวานที่จะฉุดคร่าชีวิตเขาไปเสียแล้ว...
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย