สวัสดีค่ะใครจำเพื่อนสนิทของต้องตาในรักติดเรทได้บ้างคะ วันนี้หล่อนกลับมาพร้อมกับผู้ชายที่ขี้เก๊ก หน้านิ่ง หน้าตาย ผีดิบจอมหื่น และอ่อนโยน(มั้ง) ฝากกิ่งมณีกับพี่ขุนพิทักษ์ด้วยนะคะ ทั้งหื่น และฮาไม่แพ้หมอเผือกกับต้องตาเลยค่ะ เรื่องนั้นเขาตรวจเชื้อรา เรื่องนี้เขาจะดำน้ำทะเลไปให้ปลิงดูดเลือดนะคะ ฝากรักติดเรท 2 ด้วยนะคะ
“ไอ้บ้า! ถามอะไรก็ไม่ตอบ ไม่รู้เลยว่าพ่อคิดอะไรตอนร่วมหุ้นกับไอ้บ้าเนี่ย!”
ปัง!
วางกระแทกแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงานของตนแรง ๆ ด้วยความหัวเสีย เมื่อคิดเห็นหน้าของหุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัทตนแล้วก็ทำให้หงุดหงิด
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูห้องเรียกเตือนสติของคนอารมณ์ร้อนให้กลับมา ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติแล้วร้องอนุญาตให้คนหน้าห้องเข้ามาได้
“เชิญค่ะ”
สิ้นคำพูดประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของหนุ่มเลือดผสมไทย-สเปน เดินหน้านิ่งเข้ามา
“มีอะไรอีกคะคุณขุนพิทักษ์” หล่อนแสร้งเอ่ยถามเสียงนุ่ม ทั้ง ๆ ใจจริงอยากกระชากเสียงถามมากกว่า
คนถูกถามไม่ตอบแต่เดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงานของหญิงสาว กวาดสายตามองข้าวของที่กระจัดกระจายบนโต๊ะก็กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วก็กลับมาหน้านิ่งเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร ในมือใหญ่มีของถือติดมาด้วยเขาจึงวางมันบนโต๊ะ
เมื่อได้เห็นว่าคนตัวโตมาเพราะอะไรเจ้าหล่อนก็เลยเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย
“ขอบคุณค่ะ”
หล่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนมาใส่ในลิ้นชักทำงานไว้ ด้านคนถูกขอบคุณก็ทำแค่เพียงพยักหน้าแล้วก็เดินจากไป การกระทำของชายหนุ่มทำให้กิ่งมณีฉุนอย่างแรง เมื่อร่างสูงใหญ่ลับประตูหล่อนก็แทบดิ้นพล่านด้วยความอึดอัดที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
“แค่พูดว่า ‘คุณทำผ้าเช็ดหน้าตก ผมเลยเอามาให้’ พูดแค่นี้จะตายรึไง หา!"
ด้านคนหนุ่มหน้านิ่งเดินออกมาจากห้องสาวเจ้าก็ได้แต่ยิ้มมุมปากเดินล้วงกระเป๋ากางเกงกลับห้องทำงานของตน ชายหนุ่มเป็นเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทขายส่งผลไม้อบแห้ง ขุนพิทักษ์ โลเปซ หรือ ขุน วัย 40 ปี หนุ่มเลือดผสมไทย-สเปน ผิวสีแทน ใบหน้าเคร่งขรึมดูดีในแบบของหนุ่มลูกครึ่ง รูปร่างสูงใหญ่เป็นที่หมายปองของสาวเล็กสาวใหญ่ แต่กับกิ่งมณีแล้ว เขาเป็นสิ่งที่หล่อนรังเกียจก็ว่าได้ ทำไมจะดูไม่ออกว่าเจ้าหล่อนไม่ชอบขี้หน้าเขา
ตึ๊ด! ตึ๊ด! ตึ๊ด!
พอก้าวเท้าเดินออกมาจากห้องกิ่งมณียังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของตน เสียงสั่นเตือนเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น เขาจึงล้วงออกมาดูว่าใครโทร.มา
“สวัสดีครับคุณน้า”
“สวัสดีพ่อขุน วันนี้มาทานข้าวบ้านน้าไหมลูก” ชาตรีเอ่ยชวนชายหนุ่ม จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากเชิญชวนหรอก แต่ภรรยาเขาเขารบเร้าให้ชวนขุนพิทักษ์ไปทานข้าวเย็นที่บ้านด้วย ซึ่งเป็นแบบนี้ประจำเวลาลูกสาวกลับไปค้างบ้าน
“ครับคุณน้า”
ตอบรับเสียงสุภาพก่อนจะวางสายเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วผลักเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป จริงอยู่เขามาอยู่เมืองไทยได้ 6 ปีแล้ว ต้องมาประจำการที่บริษัทส่งออกผลไม้อบแห้งที่พ่อของเขาลงทุนกับเพื่อนสนิทอย่างชาตรี เขาจึงต้องมาอยู่เมืองไทย ส่วนพ่อกับแม่นั้นอยู่สเปน ขุนพิทักษ์จะไปเยี่ยมพวกท่านทุก ๆ สองเดือน
หนึ่งทุ่มครึ่ง กิ่งมณีกลับมาถึงบ้านให้เด็กรับใช้เอาของไปเก็บแล้วเดินไปยังห้องรับประทานอาหาร เมื่อสาวใช้เดินมาบอกว่าทุกคนรอหล่อนที่ห้องรับประทานอาหารครู่ใหญ่แล้ว พอเดินมาถึงก็ต้องเบ้ปากเล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งที่ประจำของตน
“สวัสดีค่ะคุณขุนพิทักษ์ ชักจะมาทานข้าวที่บ้านฉันบ่อยเกินไปแล้วนะคะ หรือว่าไม่มีเงินซื้อกินคะ”
เอ่ยทักทายชายหนุ่มอีกคนทันทีเมื่อหย่อนก้นลงนั่งเรียบร้อยดี ด้านคนหน้าตายก็ทำได้แค่เพียงหยักยิ้มให้หล่อนเท่านั้น กิ่งมณียิ่งเดือดเข้าไปใหญ่ เมื่อคำพูดของตนทำอะไรชายหนุ่มไม่ได้
“รักษามารยาทด้วยลูก” กานดาเอ็ดลูกสาวที่นั่งตรงข้ามกับตนพร้อมกับส่งสายตาตำหนิไปให้ ทำให้ขุนพิทักษ์เผลอยิ้มเอ็นดูเจ้าหล่อน แต่ก็แค่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
“ก็มันจริงนี่คะแม่ กิ่งกลับบ้านทีไรก็เจอแต่เขาทุกที แม่นะแม่ จะเชิญเขามาทำไมก็ไม่รู้ นาน ๆ ทีลูกกลับบ้านแม่ก็น่าจะทำให้ลูกกินข้าวอร่อย เจริญหูเจริญตา แต่นี่อะไรเจอที่ทำงานทุกวันก็ว่าเบื่อแล้วยังต้องกลับมาเจอที่บ้านอีก แม่เกดไม่เข้าใจหนูกิ่งเลยค่ะ” หล่อนโต้ตอบกลับพร้อมส่งสายตาเศร้าให้ผู้เป็นแม่
“ไม่ต้องพูดเลย ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้ พี่เขาจากบ้านมาไกลต้องมาอยู่ที่แปลก ๆ แม้จะหลายปีแต่พี่เขาก็ต้องคิดถึงบ้าน ครอบครัวเรากับครอบครัวพี่เขาสนิทกันมาก ฉะนั้นครอบครัวเราก็เหมือนครอบครัวเขา ใช่ไหมจ๊ะพ่อขุน” ท้ายประโยคกานดาเอ่ยถามชายหนุ่มลุกครึ่งนั่งนิ่งข้างลูกสาวของตน
“ครับคุณน้า ขอบคุณมาก ๆ นะครับที่เอ็นดูคนไกลบ้านแบบผม”
“แหวะ! ป้าแต้วคะ ตักข้าวค่ะ กิ่งหิวแล้วค่ะ” กิ่งมณีเบื่อจะพูดต่อเลยร้องเรียกแม่บ้านมาตักข้าว
“อย่าถือสาน้องเลยนะคะ น้องยังเด็ก”
“เด็กอะไรกันคุณเกด ลูกสาวเราจะ 31 แล้วนะปีหน้านี้” ชาตรีเอ่ยบ้างหลังจากเป็นผู้ฟังที่ดีมาตลอดการสนทนา
"หึ หึ"
คำพูดของพ่อหญิงสายทำให้ขุนพิทักษ์อดขำในลำคอไม่ได้ และเสียงขำของเขาทำให้คนข้างกายได้ยินตวัดหางตามองด้วยความไม่พอใจ
“คุณพ่ออยู่เงียบ ๆ ก็ได้นะคะ ทำไมต้องพูดเรื่องอายุของลูกด้วยคะ”
กิ่งมณีเอ่ยตัดพ้อผู้เป็นพ่อพร้อมกับก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร เพราะตอนนี้หล่อนอยากหนีกลับขึ้นห้องเหลือเกิน ไม่ชอบเลยสายตาของคนข้างกาย เวลาหล่อนเหลือบมองแล้วสบกับตาคมนั้นมันช่างน่ากลัวพิลึก ทำให้ขนในกายหล่อนลุกชันแปลก ๆ
“กิ่งลูก ตักผัดเต้าหู้ไข่ให้พี่เขาหน่อยสิลูก” กานดาบอกสั่งลูกสาว
กิ่งมณีเงยหน้าขึ้นมองหน้าของผู้เป็นแม่ก็ต้องจำใจทำตาม เพราะสายตาดุ ๆ นั้นเป็นคำสั่งที่หล่อนไม่อาจปฏิเสธได้
“ค่ะแม่เกด” แล้วหล่อนก็ตัดผัดเต้าหู้ไข่ใส่ถั่วงอกให้ชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ” ขุนพิทักษ์เอ่ยขอบคุณหญิงสาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แล้วการกินข้าวในค่ำคืนนี้กิ่งมณีก็ได้คอยตักอาหารให้แขกตลอดจนอิ่ม และตามด้วยของหวาน เมื่ออาหารเย็นจบลง สาวเจ้าก็ขอตัวออกไปเดินเล่นริมสระว่ายน้ำเพื่อย่อยอาหาร
ขุนพิทักษ์อยู่คุยกับเจ้าของบ้านข้างในบ้านจนดึก พอท่านทั้งสองบอกง่วงแล้วเขาจึงขอตัวกลับ ระหว่างทางเดินไปยังที่จอดรถเขาก็เหลือบไปเห็นคนตัวเล็กช่างเหน็บแหนมยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมสระว่ายน้ำ เท้าใหญ่จึงเปลี่ยนทิศทางการเดินทันที
“แกไปนอนเถอะตา เดี๋ยวพี่หมอเผือกบอกแกเลิกคบฉัน ข้อหาชวนเมียเขาคุยจนลืมเวลาทำการบ้าน”
“ยัยกิ่งบ้า แค่นี้แหละ”
“อือ!” แล้วก็ตัดสายจากต้องตา พอหมุนตัวจะเดินกลับเข้าไปในบ้านก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่
“อุ๊ย! อะไรเนี่ย! มายืนอยู่ตรงนี้ทำไมไม่บอกกันบ้าง หา!” หล่อนตะคอกอีกฝ่ายพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหน้าผากตนเองแรง ๆ ด้วยความหงุดหงิด
“เกลียดขี้หน้ากันขนาดนั้นเลยเหรอน้องกิ่ง” น้ำเสียงเข้มเอ่ยถาม โดยไม่สนใจคำตะคอกของสาวเจ้า
“ก็เออน่ะสิ! แล้วก็เรียกดิฉันเหมือนอยู่ที่ทำงานด้วยค่ะ เพราะเรา...อะ! อื้อ!”
น้ำคำสาวกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อปากหนาฉกลงมาทาบทับ บดจูบจาบจ้วงเอาแต่ใจ มือใหญ่บังคับท้ายทอยสาวไม่ให้เบี่ยงหลบตน เรียวลิ้นร้ายสอดแทรกควานหาความหวานในโพรงปากช่างพูดก่อนจะผละออกมายิ้มเยาะ เมื่อเจ้าหล่อนน้ำตาคลอและเผลอจูบตอบไม่ไร้เดียงสากลับ
เผียะ!
กิ่งมณียกมือขึ้นตวัดใส่หน้าคมคร้ามทันทีเมื่อสติกลับมา แล้วยกมือขึ้นเช็ดถูปากตัวเองแรง ๆ ด้วยความรังเกียจ
“หึ หึ จูบแรกสินะ” ขุนพิทักษ์เอ่ยพลางหันกลับมาจ้องมองใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา แล้วยกมือหยาบกร้านเช็ดคราบน้ำตาให้เจ้าหล่อน
“ขอบคุณนะ” แล้วก็เดินจากไป ทำให้คนถูกฉวยโอกาสยืนกำมือแน่นตัวเกร็ง ไม่เข้าใจกับคำพูดของเขาก่อนจะเดินจากไป
เกือบหนึ่งพันปีที่เฝ้ามอบถวายชีวิตของตัวเองคอยรับใช้นายท่านนาสูร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกอนาคตตัวเอง เขากลับเคว้งคว้างเดินไม่ถูก และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อโชคชะตาส่งเด็กน้อยตัวเล็กอายุไม่กี่เดือนมาให้เขาได้ดูแล ‘เดหลี’ เขาดูแลเด็กน้อยไม่ต่างจากลูก แม้จะรู้ดีว่าอนาคตเด็กคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ‘พาที’ นั่งใช้ความคิดอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นของบ้านที่ตนเองและเดหลีอาศัยอยู่ด้วยกัน เพลานี้เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เผลอแป๊บเดียวจากเด็กน้อยงอแงเอาแต่ใจ นอนตัวแดงแบเบาะ ตอนนี้รู้ความและขี้อ้อนมาก “คุณพาทีคะ คุณพาทีคะ” “หืม! เด็กน้อย” คนถูกเรียกหันมาหาเจ้าของเสียงเล็กสดใสของหนูน้อยวัยเจ็ดขวบ “แต่งงานคืออะไรคะ?” หนูน้อยเกาะแขนของผู้เปรียบเสมือนพ่อของตนเอง “คือคนสองคนรักกัน แล้วก็แต่งงานกัน เดี๋ยวโตขึ้นเดหลีก็จะเข้าใจเอง” พาทีลูบหัวหนูน้อยหน้ากลมที่แนบแขนตัวเองและกำลังแหงนเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าตัวเอง เหมือนเขาที่กำลังก้มมองหน้ากลมๆ อ้วนๆ ของหนูน้อย “งั้นโตขึ้นเดหลีจะแต่งงาน และคุณพาทีต้องแต่งงานกับเดหลีด้วยนะคะ” “แต่งงานน่ะแต่งได้ แต่กับฉันไม่ได้เดหลี” “ทำไมไม่ได้คะ เดหลีรักคุณพาที ถ้าไม่แต่งกับคุณพาทีจะให้หนูแต่งกับใครคะ” หนูน้อยเจ็ดขวบตอบอย่างฉะฉาน ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘รัก’ และ ‘แต่งงาน’ “โตขึ้นเธอจะรู้เองเดหลี ตอนนี้ได้เวลานอนแล้วนะ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันเอานมร้อนไปให้ดื่มก่อนนอนนะ” “อุ้มค่ะ” หนูน้อยยอมผละแขนสั้นๆ ที่กอดแขนใหญ่ออกมากางให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองกลับห้องนอน พาทียกยิ้มเอ็นดูท่าทางของหนูน้อยแล้วก็ช้อนอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาพาเดินกลับห้องนอนด้วยเวลานี้ดึกมากแล้ว
“อ่ะ...อื้อ” เธอเบิกตากว้างในความมืดสลัวเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองถูกคุกคามยามดึก “ชูว์! ฉันเองเด็กน้อย” เขายกมือมาปิดปากเธอพร้อมบอกให้รู้ว่าคือเขา “คุณนาสูร” “ใช่ ฉันเอง ก็บอกแล้วไงว่าเจอกัน” “ฟ้าอยู่” “เธอไม่ตื่นหรอก” เขาบอกตอบกลับ “แต่ไม่ได้นะคะ เราจะ...” “ทำไมจะไม่ได้ ก็ฉันหิวมาหลายวันแล้วน้อง เธอก็รู้ว่าฉันต้องการเธอมากแค่ไหน” เขารีบบอกสวนกลับโดยที่เธอยังพูดไม่สุดประโยคความ “พรุ่งนี้ฟ้าก็กลับแล้ว” เธอบอกพร้อมดันเขาไปนอนข้างๆ ตัวเองที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ “ไม่มีพรุ่งนี้ทั้งนั้น ฉันต้องการวันนี้เด็กน้อย ขอเถอะนะ เพื่อนเธอไม่มีทางตื่นถ้าฉันไม่สั่งให้ตื่น เรามามีความสุขกันเถอะนะ ฉันรู้ว่าเธอเองก็โหยหาฉัน” มือใหญ่สอดเข้าไปในใต้ผ้าห่มแล้วบีบเคล้นเต้าของเธอ “อ่ะ...อื้อ คะ...คุณนาสูร ยะ...อย่าทำแบบนี้ค่ะ น้องอาย ถึงฟ้าจะไม่ตื่น แต่ฟ้าก็นอนอยู่ข้างๆ นะคะ” พึ่บ! แล้วผ้าห่มที่เธอแบ่งกันกับเพื่อนห่มนั้นก็ถูกถลกดึงรั้งขึ้นไปคลุมหัวของฟ้าใสทันที --- สวัสดีนักอ่านทุกคนค่ะ ณิการ์ขอฝากรูปเล่มนิยายเรื่อง “นาสูร” ภายใต้นามปากกา “ยักษ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องราวของยักษ์ที่มาอายุนับพันกว่าปีกับมนุษย์สาวคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นนิยายแฟนตาซีอีโรติกค่ะเรื่องนี้ “นาสูร” เป็นยักษ์ที่หิวกามมาก กินดุมาก เขาไม่สนใจเนื้อเท่ากับลีลารักบนเตียง และ “พุดซ้อน” ก็สนองตัณหาของเขาได้ดีทีเดียว แล้วเขาทั้งสองจะรักกันได้ยังไง เมื่อทั้งสองต่างแตกต่างกัน มาลุ้นไปกับความรักของยักษ์และมนุษย์ด้วยกันนะคะ
เรื่อง “มังกรกัณฐ์” นามปากกา “ยักษ์” ภาคต่อ “นาสูร” ด้วยนะคะ นิยายชุดนี้จะมี 3 เรื่องนะคะ นาสูร(อีบุ๊กพร้อมโหลด),มังกรกัณฐ์(อีบุ๊กพร้อมโหลด) และกลืนกิน(กำลังเขียน) วันนี้ฝากเรื่อง “มังกรกัณฐ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องของลุกชายพ่อนาสูรมาลุ้นไปกับความรักความหื่นและความเอาแต่ใจของหนุ่มลูกครึ่งยักษ์กันนะคะ
“ไอ้พร้อม ไอ้ห่า มึงมันหยาบเกินคน มึงไม่เป็นลูกผู้ชาย” “ก่อนจะว่าแบบนั้น มึงดูเอ็นกูยัง มึงดูเอ็นกูแข็งร้อนขนาดนี้ มึงยังปากดีว่ากูไม่เป็นลูกผู้ชายอีกเหรอ”
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนสองคนไม่เคยเจอกัน ไม่เคยรู้จักกัน แต่ต้องมาแต่งงานกัน แน่นอนว่าการคลุมถุงชนครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะคนแก่ทั้งสองที่ให้คำมั่นสัญญากัน พวกเขาที่เป็นหลานจึงจำต้องแต่งงานกัน "น่านน้ำ" หนุ่มเจ้าของไร่กาแฟ กับสาวมั่น "พิมพ์มาดา" ที่ต้องมาเจอกัน ทั้งสองไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังใครง่ายๆ ต่างคนต่างดื้อ และการคลุมถุงชนครั้งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้น แล้วเรื่องราววุ่นวายจึงเกิดขึ้น หนี....ใช่ต้องหนีเท่านั้น....แต่หนีไปไงมาไงมา "รัก" กันได้ไง ที่สำคัญหนีไปหนีมามาเจอพ่อคน "เซ็กส์จัด" ใช่ค่ะว่าที่เจ้าบ่าวของเธอเซ็กส์จัดจนต้องยอมแพ้....และเธอก็ชอบความหื่น ห่าม ถ่อย ของคนที่ชังหน้าแบบไม่รู้ตัว......และน่านน้ำก็หลงเจ้าสาวจอมดื้อแบบไม่ตั้งใจรักเช่นกัน...... ------------ “นายทำบ้าอะไรของนาย” “ลงโทษเมีย” น้ำคำห้วนๆ ตอบกลับทันควัน พร้อมกับจ้องหน้าสวยที่ตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในตัวเขาอยู่ในที แล้วเรื่องอะไรเขาต้องสนใจสายตาเกลียดชังที่หล่อนส่งมาให้ด้วยเล่า ในเมื่อพิมพ์มาดาเป็นของเขาและต้องเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นายน่าน” เธอสั่งเสียงแข็งไม่ยอมเช่นกัน พร้อมดิ้นหนีจากแรงกดของบุรุษที่คร่อมเหนือตัวเองอยู่ในตอนนี้ เขาบังคับให้เธอพิงไปกับพนักโซฟาและตัวเขาก็คร่อมกักร่างเธอไว้ โดยมีสองมือใหญ่กดหัวไหล่เธอให้อิงพิงไปกับพนักเก้าอี้ สองมือทุบตีไปกับหน้าอกแกร่งแต่เหมือนกับว่าทุบกำแพงหินผาเจ็บมือเสียแรงเปล่า “ทำไมฉันต้องปล่อยด้วย เธอคิดยังไงถึงไปคบกับไอ้ปลัดธนูนั่นทั้งๆ ที่มีฉันเป็นผัวทั้งคน หรือฉันคนเดียวไม่พอฮึดา” โน้มหน้าลงไปเอ่ยข้างหูเธอพร้อมกับกัดดึงหูเธอแรงๆ ด้วยความโมโห “โอ๊ย! ฉันเจ็บนะไอ้ซาดิสม์!” “ก็กัดให้เจ็บ ถ้าไม่เจ็บจะกัดทำไมวะ บอกฉันมาไปถึงไหนต่อไหนกับมันแล้ว” เงียบ! ปากช่างเจรจาของสาวจอมพยศเม้มแน่นไม่ปริปากตอบเมื่อเขาถาม และนั่นยิ่งกระตุ้นไฟโทสะในอกของน่านน้ำไปใหญ่ “ฉันถามเธออยู่ทำไมไม่ตอบ” เขากระชากเสียงถามเธอดังกว่าเดิม และครั้งนี้ก็บีบหัวไหล่ของเธอที่กดไปกับพนักโซฟาด้วย “เจ็บนะเว้ย! นายมันบ้าไปแล้วนายน่าน นายมันคนซาดิสม์ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันเจ็บ” ทุบตีแขนของเขาให้นำพามือที่บีบหัวไหล่ตัวเองออก ตอนนี้ดวงตาสวยสดใสได้อาบล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือจากหัวไหล่แต่เขากลับทำตรงกันข้ามคือบีบแรงกว่าเดิม “ฉันไม่ใจอ่อนกับน้ำตาของผู้หญิงอย่างเธอหรอกนะดา อย่ามาบีบน้ำตาปัญญาอ่อนต่อหน้าฉัน” น้ำเสียงเฉียบขาดเอ่ยขึ้นพร้อมกับผละมือข้างขวามาบีบคางเล็กของเธอให้แหงนเงยเชิดหน้าขึ้นสบตาตนเอง แล้วเขาก็โน้มลงไปบดขยี้ปากอวบอิ่มสีระเรื่อที่เม้มแน่นของหล่อนจริงๆ ในเมื่อไม่ยอมพูดไม่ยอมตอบเขาก็ไม่คิดจะสนใจแล้ว เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการทำให้พิมพ์มาดาจำ จำว่าร่างกายของหล่อนคือของเขา นายน่านน้ำไม่ใช่ของใครอื่นที่ไหน ผู้ชายหน้าไหนก็ห้ามแตะ เพราะเนี่ยคือสมบัติของเขา ถ้าเขาไม่ยกให้ใครหน้าไหนก็ห้ามพาหล่อนหนี “อ่ะ อื้อ.....
เขาเป็นหมอที่มีรักเดียวมาตลอดหลายสิบปี แอบเฝ้ามองน้องน้อยตั้งแต่แรกเกิด ส่วนน้องน้อยก็หาได้รักเขาแบบชู้สาวไม่ สำหรับจงกลนีแล้วเขาคืออาจารย์หมอหน้านิ่งหน้าเดียว ไร้อารมณ์ทางสีหน้า แม้แต่ยิ้มเขาก็ยิ้มไม่เป็น แต่ก็ตกใจเมื่อเขายิ้มให้ตัวเองคนเดียว จะบ้าเหรอเขาเป็นอาจารย์ของเธอ และเธอกก็เคารพเขามาตลอด จะให้รักได้ยังไงกัน ++++++ “เอ้า...ปากกา เซ็นเอกสารแล้วค่อยนอนต่อก็ได้” “ค่ะ” เธอรับปากกาที่เขายื่นให้พร้อมกับเซ็นชื่อตรงที่เขาชี้มือ “เรียบร้อย ตอนนี้เธอเป็นเมียฉันแล้วนะ” “ยังไงคะ?” ถามทั้งๆ ที่นั่งหลับ “ก็เราจดทะเบียนสมรส..
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"