/0/4970/coverbig.jpg?v=a9d807326be5ecd3167489cac0b3a240)
เพราะไปเผาศาลเจ้าด้วยความโกรธ เลยต้องถูกทำโทษให้มาอยู่ในร่างของคนอื่น
เพราะไปเผาศาลเจ้าด้วยความโกรธ เลยต้องถูกทำโทษให้มาอยู่ในร่างของคนอื่น
ใบหน้าสวย ที่นัยตานั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถบัส ในหัวของเธอนั้นคิดเรื่องราวต่างๆ มากมายไปหมด
"จินซิน ยังคิดเรื่องลู่หานอยู่อีกเหรอ" เพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยถาม เธอหันไปพยักหน้ารับ ลู่หานคือชื่อของแฟนหนุ่ม ซึ่งเป็นสาเหตุให้เธอต้องบินจากจีนแผ่นดินใหญ่ มาถึงไต้หวัน เพื่อไหว้เทพเจ้าขอพร
เธอกับลู่หานคบกันมานานถึง 7 ปี ซึ่งเพิ่งจะผ่านวันครบรอบมาได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก่อนหน้าที่จะถึงวันครบรอบ ทั้งสองคนก็ทะเลาะกันมาอย่างหนัก จนต้องต่างฝ่ายต่างถอยหลังไปถามตัวเอง ว่าจะคบกันต่อไปหรือยุติความสัมพันธ์ลงเพียงเท่านี้
จินซินรักเขามากเกินกว่าจะทำใจยอมรับการเลิกราได้ เธอจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความรักได้ดำเนินต่อไป
"เดี๋ยวก็ถึงศาลเทพเจ้าแห่งความรักแล้ว ฉันเอาหัวเป็นประกันเลยนะ ยังไงความรักของเธอกับลู่หานก็ต้องกลับมาดีเหมือนเดิมแน่นอน" อี้ฟางเพื่อนสนิทพยายามพูดให้กำลังใจจินซินมาโดยตลอด แม้เธอนั้นจะมองออก ตั้งแต่ช่วงทีาลู่หานเปลี่ยนไปแล้ว ว่าความรักของเพื่อนครั้งนี้อย่างไรก็กลับไปหวานชื่นเหมือนเดิมไม่ได้
แต่เพราะรู้ว่าจินซินเพื่อนของตัวเองนั้นรักแฟนหนุ่มของเธอมาก เธอจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เพื่อนสบายใจ
ณ ศาลเทพแห่งหนึ่งในมณฑลหนานโถว,ประเทศไต้หวัน
จินซินและอี้ฟาฃเดินทางตาม GPS กระทั่งถึงศาลเจ้าที่เป็นเป้าหมายของพวกเธอ ที่นี่ถูกตกแต่งด้วยปฏิมากรรมจีนอย่างงดงาม ตั้งแต่ประตูทางเข้า ตลอดไปจนถึงวิหารซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขอฃรูปปั้นตัวแทนองค์เทพ
ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่เทพเจ้าแห่งรัก แต่ยังแบ่งเป็นโซนสำหรับไหว้ขอพรในด้านต่างๆ เช่น การงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ ฯลฯ แล้วแต่ใครจะปรารถนาสิ่งใด
อี้ฟางพาเพื่อนรักของเธอเดินตรงไปที่โซนไหว้ขอความรักอย่างไม่รีรอ มาถึงก็จะพบกับวิธีการไหว้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ไหว้ขอคนรักสำหรับคนโสด ไหว้เสริมความรักสำหรับคนมีแฟน หรือแม้แต่ไหว้ขอให้ทำใจได้สำหรับคนช้ำรัก
ซึ่งในส่วนของจินซินนั้น เธอมาไหว้เพื่อขอให้ความรักดีขึ้น วิธีการไหว้คือสวดบทเสริมความรัก พร้อมกับบูชาน้ำมันเติมในตะเกียงเพื่อจุดถวายแก่องค์เทพเพื่อให้รับรู้ต่อคำอธิษฐานขอของเธอ
"สบายใจขึ้นมั้ย?" หลังจากที่เดินออกมาจากศาลเทพเจ้าเสริมดวงความรัก อี้ฟางจึงได้เอ่ยถามขึ้น เธอยังคงเห็นความกังวลฉายอยู่ในแววตาของเพื่อน แม้ว่าจะทำการไหว้เทพขอพรไปแล้วก็ตาม จินซินดูพะวักพะวงอยู่ดับการก้ดูโทรศัพท์แทบจะตลอดเวลา
"สบายใจอะไรล่ะ ลู่หานบ่นเรื่องที่ฉันมาไต้หวันตั้งแต่ลงรถ จริงๆ ก็เถียงเรื่องนี้กันตั้งแต่ลงจากเครื่องแล้ว" อี้ฟางสัมผัสได้ว่า ความรักของเพื่อนนั้นน่าจะมาถึงจุดสุดท้ายแล้วจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นถกเถียงจนกระทั่งทะเลาะกันได้
"ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลยไหมล่ะ" ทีแรกทั้งคู่ตั้งใจว่าจะเที่ยวที่ไต้หวันต่ออีกสักสองสามวันแล้วค่อยกลับ แต่ดูจากท่าทางรุุกรี้รุกรนของจินซินแล้ว
'งั้นก็เลิกกันสักทีเถอะ เธอจะได้สบายใจ'
**ไม่สามารถส่งข้อความถึงผู้ใช้รายนี้ได้**
หลังจากส่งข้อความบอกเลิกสำเร็จ ลู่หานก็กดบล็อกแฟนสาวในทันที นั่นจึงทำให้จินซินที่กำลังสับสนอยู่กับเหตุการณ์ยืนนิ่งไป มือทั้งสองข้างกำโทรศัพท์แน่น ดวงตากลมโตจ้องมองหน้าจองทีาเปลี่ยนไป ภาพโปรไฟล์ของแฟนหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวว่างเปล่า ช่องส่งข้อความถูกปิดใช้งานอัตโนมัติ
"เป็นอะไรไปเหรอ?" อี้ฟางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของเพื่อน
"เวรจริงๆ!!! เทพพระเจ้านี่ไม่เห็นศักดิ์สิทธิ์สักนิด ฉันเพิ่งขอพรไปไม่ถึงยี่สิบนาทีเลยมั้ง เดินออกมายังไม่พ้นกำแพงของศาลเลยเนี่ย" อยู่ๆ จินซินก็โวยวายขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ น้ำตาไหลเอ่ออาบสองแก้มนวล อี้ฟางได้แต่ช็อกกับภาพที่เห็น เธอพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่รู้จะจัดการกับเพื่อนของตัวเองที่กำลังสติแตกอย่างไรได้
"จินซิน! เดี๋ยวสิจะไปไหนน่ะ!?" สองเท้าเล็กรีบสาวตามเพื่อนไป จินซินเดินย้อนกลับไปที่จุดไหว้ขอพรความรักอีกครั้ง เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนต้องรูปปั้นเทพเจ้าน้ำตาไหลอาบ เธอโทษว่าเป็นความผิดของเทพเจ้า ที่ทำให้เธอนั้นถูกบอกเลิก ทั้งที่พยายามประคับประคองมานานหลายเดือน
"ถ้าขอดีดีแล้วให้ไม่ได้ ก็อย่าหลอกลวงใครอีกต่อไปเลย" หญิงสาวเดินไปคว้ากระบวยตักน้ำมันจากถังสำหรับตักน้ำใันใส่ตะเกียง แล้วจัดการสาดใส่แท่นที่ตั้งรูปปั้นขององค์เทพเจ้าอย่างบ้าคลั่ง จนอี้ฟางต้องรีบเข้าไปห้าม และยังมีคนดูแลอีกสองสามคนที่ร้องตะโกนพลางเข้าไปห้ามจินซิน แต่หญิงสาวก็ดิ้นสุดแรงต่อต้านการจับกุมของทุกฝ่าย
เมื่อหลุดจากพันธนาการเธอก็คว้าเขียนเล่มที่อยู่ใกล้มือที่สุด ซึ่งเป็นเทียนที่มีการจัดไฟสว่างไสว ก่อนจะทิ้งเทียนเล่มนั้นลงพื้นจนทำให้เกินไฟลุกขึ้นทั่วบริเวณที่ราดน้ำมัน
"เผาทิ้งซะศาลเฮงซวย!!!" เธอร้องตะโกนใส่รูปปั้น ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างวิ่งกันวุ่นวายเพื่อหาถังมาดับเพลิง แต่ด้วยตรงจุดนั้นมีถังใส่น้ำมัน และน้ำมันที่ถูกสาดกระจายทั่วบริเวณ ทำให้เพลิงลุกลามอย่างรวดเร็ว อี้ฟางเองแม้จะอยู่ไม่ไกลจากจินซิน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะไฟลุกลามแรงขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่จินซินเองที่เป็นคนสร้างเพลิงพงกนี้ขึ้นมาด้วยความขาดสติ ก็ยังเริ่มรู้สึกถึงเปลวความร้อนจากไฟ เธอค่อยๆ ถอยออกมาจากจุดที่เกิดเพลิงไหม้ แต่เพราะไฟมันลามไปทั่วตัวศาลแล้ว ทำให้เธอยืนอยู่กลางกองเพลิงโดยไม่รู้ตัว
"อี้ฟาง! อี้ฟางช่วยฉันด้วย!" คนที่ยืนอยู่กลางเปลวเพลิงร้องขอความช่วยเหลือ แต่เหมือนว่าความรุนแรงของเปลวไฟ ขะแรงเกินกว่าที่อี้ฟางจะลุยเข้าไป หรือแม้แต่จินซินเองก็ไม่สามารถฝ่าออกมาได้เช่นกัน ดวงตากลมมองหาสักลู่ทางที่พอจะวิ่งออกไปได้อย่างปลอดภัย และเธอมองเห็นจุดที่เปลวไฟไม่โหมมาก อยู่ห่างจากเธอไปเพียงสองสามก้าว
จินซินตัดสินใจก้าวเท้าหมายจะลุยไฟออกไป แต่ด้วยน้ำมันที่เธอราดเอาไว้ ทำให้หญิงสาวลื่นถลาแล้วล้มลงในกองเพลิง ความร้อนกระจายแผ่ทั่วทั้งร่างกายอย่างรวดเร็ว อี้ฟางทำได้เพียงร้องขอความช่วยเหลือ และมองดูเพื่อนถูกเปลวไฟเผาต่อหน้าต่อตา
ความแสบร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ภาพของศาลเจ้าและเพื่อนสนิทที่ยืนร้องไห้สลับกับร้องขอความช่วยเหลืออยู่นอกศาลค่อยๆ เลือนลางและจางหายไปในที่สุด
'นี่ฉันเอาชีวิตมาทิ้งอย่างนั้นเหรอ บ้าจริง'
"พี่ริก" นินิวเรียกคนที่เข้ามาในห้องเธอ ฉันอยากจะกรี๊ดและกัดลิ้นตัวเองให้ขาด ฉันลืมไปสนิทว่าริกเป็นคนที่เข้าออกคอนโดของเธอได้อย่างง่ายดาย "ออกไป ถ้าไม่อยากโดนข้อหาบุกรุกห้องคนอื่นในยามวิกาล" นินิวบอกริกมาเสียดังด้วยสีหน้าโกรธจัด ที่ริกเข้าห้องเธออย่างถือวิสะ "ไม่ไป ในเมื่อที่นี่คือห้องเมียฉัน ทำไมฉันต้องออก" ร่างสูงบอกมาด้วยเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจ "ห้องฉันไม่ใช่ห้องของยัยโมเน่ เมียคนปัจจุบันของพี่ ถ้าพี่ยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่บ้างก็ออกไปจากห้องฉันคะ" แต่ริกกับไม่สนใจคำพูดนินิวเลยซักนิด ร่างสูงเดินเข้ามาหาคนตรงหน้า นินิวที่เห็นเช่นนั้นถึงกับจับที่ชายผ้าขนหนูเอาไว้แน่นขึ้น เพราะคนตรงหน้านั่นดูอันตรายสำหรับเธอ "อย่านะพี่ริก เรื่องของเรามันจบไปแล้ว" นินิวบอกมาด้วยเสียงสั่นเพราะสายตาที่เขามองเธอมามันน่ากลัวมากจริงๆ "ชอบฉันไม่ใช่เหรอ เอาฉันแล้วจะไปอ่อยคนอื่น อีกทำไม ฉันเห็นเต็มสองตาว่าเธอจูบกับไอ้ไทม์" "ในเมื่อพี่เห็นเช่นนั้น พี่ก็เลิกยุ่งกับฉันเสียสิ ฉันจะอ่อยจะจูบกับใครมันก็เรื่องของฉันไหม ฉันบอกพี่ไม่กี่ร้อยครั้งแล้วว่าเราเลิกกันแล้ว เพราะพี่มันเลว ฉันเลยไม่อยากได้พี่แล้ว " นินิวบอกคนใจร้ายอย่างคนเหลืออด เธอระเบิดอารมณ์ใส่คนตรงหน้าอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว สำหรับริกตอนนี้เธอมองเขาเป็นแค่เศษฝุ่นที่รู้สึกขยะแขยงยิ่งกว่าแมลงสาบ ริกถึงกับกัดฟันกอดด้วยความโกรธและโมโห เชตเรื่องหนุ่มๆวิศวะทั้ง 4 หนุ่มนะคะ พันธะร้ายนายวิศวะ เรียวตะ x เชอรีน (มีให้อ่านจบเรื่อง) พิษรักร้าย Toxic Love ริกกี้ x นินิว พลาดรักร้ายนายวิศวะ อรัณ x มิริณ คลั่งรักร้ายนายวิศวะ ริว x เจนิส โลกสวยไม่เหมาะกับนิยายเรื่องนี้ ข้ามไปได้เลยจ้า นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นตามจิตนาการของผู้แต่ง ห้ามขัดลอกเรียนแบบใดๆ ทั้งสิ้นเขียนขึ้นตามจิตนาการของผู้เขียนเท่านั้น นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหารุนแรงในบางตอน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
นายพายุ ศิระภาคิณ อายุสามสิบปี นักธุรกิจหนุ่มประธานบริษัทส่งออกผ้าไทย วีรกรรมที่เขาทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กำลังจะย้อนกลับมา เมื่อนางสาวแพรไหม โภสิกุล ดีไซเนอร์สาวอายุยี่สิบเก้าปี ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เธอนั้นหายออกไปจากมหาวิทยาลัย กว่าสิบปี โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ท่านประธานหนุ่มเริ่มอยากรู้ชีวิตของเธอ เมื่อครั้งหนึ่งเรือนร่างอันบอบบางอรชรเคยหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขามาแล้ว ถ้าหากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกหากเธอนั้นยังโสดแพรไหมจะยังต้องการเขาอยู่หรือไม่ ในเมื่อเธอคิดว่าพายุนั้นเป็นแค่ผู้ชายที่พรากความบริสุทธิ์ไปจากเธอเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เธอก็ยังคงมองเขาในด้านลบอยู่ดี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม "แม่ของหนูชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน บอกฉันได้ไหม" พายุถามพร้อมกับจ้องลงไปที่ดวงตาแป๋วของเด็กหญิงตรงหน้า เมื่อเขามั่นใจว่าสายตาจะไม่โกหก "แม่ของหนูชื่อแพรไหม!" เด็กหญิงพูดออกมา พร้อมกับจ้องสายตาคมของผู้เป็นบิดาอย่างไม่กะพริบตา เพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก “ฮ่ะ!” พายุอุทานออกมาเสียงดัง ขณะที่หัวใจของเขานั้นเต้นแรง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต "ถ้าคุณไม่เชื่อ พาหนูไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะคะ" เด็กหญิงพูดออกมาพร้อมกับมีใบหน้าที่เศร้าหม่น เมื่อเธอคิดว่าบิดาคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอนั้นพูดออกมา "ไม่จำเป็น!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง เพื่อยืนกรานที่จะตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้คนฟังนั้นหวาดกลัว เพราะใยไหมคิดว่าบิดานั้นไม่เชื่อใจเธอ "หนูขอโทษที่มารบกวน หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ใยไหมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ เมื่อเธอได้สัญญากับผู้เป็นมารดาเอาไว้ หากถูกปฏิเสธแล้วไซร้ จะขอกลับไปไม่กลับมาหาชายตรงหน้าอีกเลยตราบชั่วชีวิต "แล้วหนูจะไปไหน นั่งลงก่อนสิ" พายุพูดพร้อมกับจับร่างเล็กของลูกสาวนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง "ที่บอกว่าไม่จำเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพ่อเชื่อว่าหนูเป็นลูกของพ่อโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใยไหมไม่รอช้าโผเข้าไปกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ "ไม่ร้องนะครับคนเก่งของพ่อ" พายุพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มใสของลูกสาวออกจนสิ้น ในขณะที่ตัวของเขาเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน "หนูขอเรียกพ่อว่าคุณป๋านะคะ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดออกมาอย่างรื่นหู คุณป๋าที่เด็กหญิงพูดนั้น ทำให้พายุอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ทำไมถึงต้องเรียกพ่อว่าคุณป๋าด้วยละ หืม" พายุเอ่ยถามลูกสาวออกมา ขณะที่เขายังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยความรักความผูกพันของสายใยระหว่างพ่อลูก ที่มันพันผูกจนมาสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ "มาดาม ไม่ชอบให้หนูมีพ่อ หนูก็จะมีคุณป๋าแทนยังไงล่ะคะ" คำตอบของลูกสาวทำให้พายุยิ้มไม่หุบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอช่างเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ผิดกับแพรไหมมารดาของเธอ ที่ชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ตลอดเวลา "ทำไมถึงเรียกแม่ว่ามาดาม ตอนนี้แม่แต่งงานไปแล้วหรือยัง" เวลานี้พายุลุ้นคำตอบจากลูกสาว หรือแพรไหมจะแต่งงานกับฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว ใยไหมถึงได้เรียกเธอว่ามาดาม "แม่ยังไม่มีใคร มีแค่ลุงดนัยที่ชอบมาข้องแวะ แต่หนูไม่ชอบเขาเลย เพราะเขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาดามอยู่เรื่อย" คำตอบของลูกสาวช่างอิ่มเอมใจ เมื่อแพรไหมไม่มีใครเขาก็พร้อมจะสานสัมพันธ์ แต่งานนี้คงจะยากหากผู้ชายคนนั้นมาข้องแวะ แต่เขามีลูกสาวที่ยืนเคียงข้างแล้วจะกลัวอะไร "ถ้าพ่ออยากจะจีบแม่ต้องทำยังไง" "โอ้! เจ๋งเป้งมากค่ะคุณป๋า เดี๋ยวหนูจะช่วยเอง" ใยไหมพูดออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแสนนาน อยากให้บิดามารดาได้ลงเอยกันสักที "ลูกรับปากพ่อแล้วน๊า... " พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก "แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อนค่ะ คุณป๋า" ใยไหม ผละออกจากอกกว้างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับหยิบคุกกี้ตรงหน้าเข้าปาก "หิวหรือยัง ไปทานข้าวก่อนดีไหม" พายุเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นลูกสาวนั้นหยิบคุกกี้เข้าปากคำโต "เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ค่ะ แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน เรื่องที่หนูเป็นลูกสาวของคุณป๋า ห้ามให้ใครรู้ ทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเราได้ไหมคะ" พายุทำหน้าสงสัยกลับไปให้เด็กหญิง เธอกำลังคิดจะทำอะไร ใครหลายคนคงดีใจหากได้เป็นลูกสาวของท่านประธาน "ทำไมเป็นลูกสาวพ่อมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ลูกถึงไม่อยากให้ใครรู้" พายุเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความน้อยใจ เมื่อลูกสาวไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นบิดาของเธอ "เป็นลูกสาวของป๋าดีที่สุดแล้ว แต่หนูไม่อยากให้ใครมองมาดามในทางไม่ดี ทุกคนต้องรู้แน่ สาเหตุที่มาดามต้องออกจากมหา'ลัยกลางคัน" คำบอกเล่าของใยไหมเป็นเหมือนดังคมหอก ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของพายุ เด็กหญิงตรงหน้าช่างมีความคิดแบบผู้ใหญ่ เธอถูกเลี้ยงมาแบบไหนทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้ แพรไหมคงดูแลอบรมลูกสาวมาอย่างดี ต่างจากเขาผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยได้เหลียวแล "พ่อขอโทษนะ ที่ไม่เคยได้ดูแลหนูเลย ต่อจากนี้ไปพ่อจะไม่ทิ้งหนูกับแม่ให้อยู่กันตามลำพังอีกแล้ว" คำพูดของผู้เป็นบิดากำลังทำให้เด็กหญิงหัวใจพองโต เธอดีใจที่ผู้เป็นพายุไม่ปฏิเสธ แถมเขายังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับมาดามของเธออีกครั้ง คงไม่มีอะไรทำให้เด็กหญิงมีความสุขเท่าสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต "ก่อนอื่นคุณป๋า ต้องจีบมาดามให้ติดก่อน หนูบอกเลยว่างานหิน มาดามดื้อจะตาย ขนาดลุงดนัยตามจีบหลายปี มาดามยังปฏิเสธทุกครั้ง แต่ลุงดนัยก็ตื้ออยู่ได้" ใยไหมพูดพร้อมกับทำหน้างอ ออกมาได้อย่างน่ารัก "ป๋ามีลูกสาวคอยช่วยจะกลัวอะไร ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวป๋าจะไปส่งที่บ้าน" พายุพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง เขาคงไม่ต้องใช้นักสืบ ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้หญิงสาวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาเอง แถมอยู่ดี ๆ ก็ได้ลูกสาวมาหนึ่งคน ที่น่ารักซะจนทำให้เขานั้นอยากไว้หนวด
'เจ้าเป็นว่าที่ชายาของข้า จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง หรือต้องให้ข้าเสกทายาทเข้าท้องเสียก่อน’ ใครจะไปคิด ว่าการบังเอิญไปเก็บดอกไม้ที่ใครบางคนเผลอทำตกเอาไว้จะมีแวมไพร์มา 'จองรัก' จองผลาญไปตลอดกาล หากกล่าวถึงกุหลาบ หลายคนอาจนึกถึงเรื่องราวโรแมนติกประหนึ่งนิยายหวานซึ้งเพียงเท่านั้น แต่สำหรับหญิงสาวอย่าง ลินิน การได้มาพบกุหลาบดอกหนึ่งเข้าโดยบังเอิญกลับทำให้ชีวิตของเธอพลิกผันไปตลอดกาล เมื่อมันนำพาเธอไปพานพบกับเจย์เดน แวมไพร์ ที่มีอยู่มานานหลายศตวรรษ นอกจากนี้ เขายังหวงของรักมากเสียด้วยสิ แต่การมาของเขานั้นก็นำคำสาปรักมาสู่เธอด้วย
© 2018-now MeghaBook
บนสุด