อานนท์ ชายหนุ่มโสดอายุ 25 ปี หน้าตาดาษดื่น เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าอุ่นไอรัก อาชีพหลักคือการขายอาหารตามสั่งในฟู๊ดเซนเตอร์ห้างดัง อาชีพรองเป็นผู้ช่วยนักเขียนนิยาย รับจ้างหาข้อมูลต่าง ๆ ส่งให้กับนักเขียน งานไหนได้เงิน อานนท์ทำทั้งหมด ในวันหยุดยาว กลางวันนอกจากต้องไปยืนทำอาหารตามสั่ง กลางคืนยังต้องมานั่งหาข้อมูลส่งให้ผู้ว่าจ้างงานด่วนอีก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ วิญญาณจึงบ๊ายบายจากโลกเก่า ไปเกิดใหม่ในร่างของจางอี้หมิง บุตรชายตัวน้อยอายุ 5 ขวบของบัณฑิตจาง ที่ถูกบ้านหลักมอบหนังสือแยกบ้าน พร้อมขับไล่ครอบครัวให้มาอยู่บ้านนอก อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ แม่ และย่าตามที่อานนท์เคยฝันไว้ แต่ทำไมถึงแถมความยากจนมาให้เขาด้วย ชาติก่อนก็สู้ชีวิตจนตาย มาชาตินี้ชีวิตสู้กลับยิ่งกว่านิยายที่เขาเคยอ่านเสียอีก นี่สินะ!!! ของฟรีไม่มีในโลก มันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ
“พวกเจ้ารีบเล่าถึงหนทางแก้ไขปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงมา ว่ามันคือสิ่งใดกัน” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยเร่งด้วยความร้อนใจ เขาต้องการทราบข้อมูลอย่างละเอียดและรวดเร็วที่สุดเพื่อช่วยเหลือชาวไห่ถังให้ทันเวลา
“หมู่บ้านหลัวถงอยู่ติดชายทะเล มีต้นลูกหนามที่สามารถเอาผลมาทำเป็นเชื้อเพลิงได้ขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยขึ้นและยื่นผลลูกหนามวางไว้บนโต๊ะทำงานของท่านเจ้าเมืองสองสามผล
“สิ่งนี้คือสิ่งที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เช่นนั้นหรือ” คุณชายหวงเอ่ยถามพร้อมกับหยิบตัวอย่างขึ้นมาพิจารณาดู
“ใช่แล้วขอรับ รบกวนท่านพ่อบ้านเอาผลลูกหนามไปทุบทั้งหมด
ไม่ต้องให้แหลกมาก แล้วหาเตาสักอันวางผลลูกหนามลงไปและจุดไฟ เสร็จแล้วนำกลับมาให้ท่านเจ้าเมืองได้ดูด้วยขอรับ” จางอี้เทาหยิบลูกหนามสามลูกส่งให้กับพ่อบ้านประจำจวนพร้อมกับอธิบายวิธีการทดสอบ
“ได้”
ทันทีที่ได้รับสัญญาณจากท่านเจ้าเมืองให้รีบจัดการทำตามที่ชายหนุ่มตรงหน้าบอก พ่อบ้านจึงรับลูกหนามมาถือไว้แล้วเดินออกจากห้องไป
“ใครเป็นผู้ค้นพบต้นลูกหนามที่ใช้จุดไฟนี้ พวกเจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่” คุณชายหวงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตอบคำถาม แต่เพียงเท่านี้หวงห่าวหรานก็เดาได้ทันที
“หมิงหมิงน้อยใช่หรือไม่ ข้าไม่แปลกใจเลยหากคนที่พบเจอต้นลูกหนามจะเป็นเจ้าเด็กน้อยคนนั้น” คุณชายหวงว่า
บทสนทนายังไม่ทันได้ดำเนินการต่อ พ่อบ้านก็ถือเตาขนาดเล็กเดินเข้ามายังห้องทำงาน ซึ่งในเตานั้นมีผลของลูกหนามที่เปลวไฟลุกโชน
“โอ้ มันติดไฟจริง ๆ ด้วย” ท่านเจ้าเมืองลุกขึ้นยืนชะเง้อมองไปยังเตาที่พ่อบ้านถือเข้ามาวางไว้ตรงพื้นด้านหน้าโต๊ะทำงานของเขา
“ถูกแล้วขอรับ ลูกหนามหนึ่งผลติดไฟได้นานหนึ่งเค่อ แต่ถ้าหากว่าจุดไฟด้วยลูกหนามจำนวนมากระยะเวลาของเปลวไฟก็นานขึ้นด้วยขอรับ” จางอี้เทาอธิบายอีกครั้ง
“เป็นข่าวดียิ่งนักเพราะข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยคนป่วยและคนที่ล้มตายก็มากขึ้นทุกวัน ความดีความชอบในครั้งนี้ต้องยกให้กับหมู่บ้านหลัวถงแล้ว
ข้าจะป่าวประกาศออกไปถึงความดีในครั้งนี้” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เขาโล่งใจจนคล้ายยกภูเขาออกจากอกได้
“หามิได้ขอรับท่านเจ้าเมือง หมู่บ้านหลัวถงมีคำขอ พวกเรามิต้องการความดีความชอบอันใด ชาวบ้านต้องการให้ท่านเจ้าเมืองปิดเป็นความลับมากกว่าขอรับ เพราะว่าพวกเราชาวบ้านมิต้องการความวุ่นวาย จุดประสงค์ที่มาแจ้งข่าวในครั้งนี้เป็นเพียงความปรารถนาดีของหมู่บ้านหลัวถงที่มีให้กับชาวบ้านหมู่บ้านอื่นเพียงเท่านั้น หาได้ต้องการความดีความชอบไม่”
“พวกเจ้าช่างมีน้ำใจยิ่งนัก” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยชม
“อีกหนึ่งเหตุผลคือพวกเราเกรงกลัวเรื่องโจรมากขอรับ เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านจะทำการนี้อย่างลับ ๆ โดยส่งทหารออกไปตามหาต้นลูกหนามให้ทั่วเมืองไห่ถัง หากพบเจอที่หมู่บ้านไหนให้ทหารสอนวิธีการเก็บ การใช้ให้กับชาวบ้านและขอให้ทหารเก็บลูกหนามมาบางส่วนเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับหมู่บ้านอื่นที่ไม่มีต้นลูกหนาม
ข้าคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้คงไม่มีผู้ใดมาเฝ้าจับตามอง
แต่กันไว้ดีกว่าแก้ จึงอยากให้กระจายทหารออกไปหลาย ๆ ทาง หมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายคือหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับทะเลขอรับ ทหารสามารถไปดูต้นลูกหนามได้ที่หมู่บ้านหลัวถงและเก็บมาแจกจ่ายให้กับชาวเมืองได้ มันมีมากมายเพียงพอให้ทุกคนได้ใช้ ขอเพียงท่านอย่าได้แพร่งพรายถึงแหล่งที่มาเพียงเท่านั้น”
จางอี้เทาอธิบายยาวเหยียดเกี่ยวกับแผนการต่าง ๆ ที่มีให้กับท่านเจ้าเมืองได้รับฟัง รวมถึงความกังวลใจของชาวบ้านหลัวถงด้วย
“เป็นความคิดที่ดี ข้ายินดีทำตามคำที่เจ้าขอ วันพรุ่งนี้ข้าจะให้ทหารจำนวนหนึ่งไปหาพวกเจ้าเพื่อไปดูต้นลูกหนามและนำลูกหนามกลับคืนมาเพื่อนำมาแจกให้ชาวเมืองได้ใช้ อีกกลุ่มหนึ่งข้าจะให้ทหารกระจายตัวออกไปตามหาในหมู่บ้านต่าง ๆ แผนการเช่นนี้พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่” ท่านเจ้าเมืองพูดทวนแผนการและสอบถามความพอใจของชาวบ้านหลัวถง
“พวกเราพอใจขอรับ” จางอี้เทาตอบคำถามหลังจากที่หันไปเห็นซุนถงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเห็นด้วย
“หากไม่มีสิ่งใดแล้วพวกข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ หากช้าการเดินทางจะลำบากเนื่องจากรถม้าใช้การมิได้เลยขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยขอตัว
“ข้าในฐานะที่เป็นเจ้าเมืองไห่ถังขอขอบใจหมู่บ้านหลัวถงที่มิได้นิ่งดูดายเห็นความตายของคนอื่นว่ามิใช่เรื่องของตน ชาวเมืองไห่ถังติดหนี้พวกเจ้าแล้วหนึ่งครั้ง ข้ารับปากว่าจะทำตามที่เจ้าขออย่างเคร่งครัด ขอให้พวกเจ้าสบายใจได้” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง
จางอี้เทา ซุนถง และเถ้าแก่หวังจึงขอตัวกลับ คล้อยหลังทั้งสามเดินไปจนลับสายตา หวงห่าวหรานจึงเอ่ยกับบิดา
“ท่านพ่อขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ ในที่สุดปัญหาเรื่องภัยหนาวก็มีหนทางแก้แล้ว ท่านพ่อจะได้พักผ่อนบ้าง”
“พ่อมิแปลกใจเลยถึงความสามารถของเด็กน้อยนั่น เราโชคดีแล้วที่มีพวกเขาอาศัยอยู่ที่เมืองไห่ถังนี้ ไม่แน่ว่าในการหาเครื่องบรรณาการอาจจะขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ในอนาคต”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันขอรับท่านพ่อ เช่นนั้นท่านพ่อพักผ่อนเถอะขอรับ ท่านแม่กังวลเรื่องสุขภาพของท่านมาหลายวันแล้ว เรื่องต่าง ๆ ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเอง เรื่องเพียงเท่านี้ข้าจัดการได้ขอรับ” หวงห่าวหรานเห็นด้วยกับบิดา เขาบอกให้ท่านเจ้าเมืองได้พักผ่อนก่อนจะขอตัวออกไปจัดการตามที่ได้คุยกันไว้ก่อนหน้านี้
บนถนนสายหลักของเมืองไห่ถังเต็มไปด้วยหิมะ มันช่างเงียบเหงาหาได้มีผู้คนบนท้องถนนไม่ บ้านเรือนถูกปิดแน่นหนา หิมะยังตกลงมาประปราย มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวโพลน ทางด้านจางอี้เทาและซุนถงมุ่งหน้าไปยังเรือนของหลินไห่ผู้เป็นบิดาบุญธรรมของบัณฑิตหนุ่ม
เมื่อถึงจุดหมาย พ่อบ้านรีบเดินมาเปิดประตูให้แล้วนำทุกคนเข้าไปยังโถงเรือน หลินไห่กับตู้จินเหมยนั่งจิบชากันอยู่ในห้อง เมื่อเห็นว่าใครมาเยี่ยม
ฮูหยินหลินถึงกับลุกขึ้นมา ทว่าจางอี้เทารีบเดินเข้าไปและประคองให้นางนั่งลงตามเดิม
หลังจากที่คารวะทำความเคารพกันเรียบร้อยแล้ว จางอี้เทาก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา เขาวางผลลูกหนามจำนวนหนึ่งไว้บนพื้น ใกล้กับโต๊ะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่
“ท่านพ่อบุญธรรม ท่านแม่บุญธรรม พวกท่านประสบปัญหาเชื้อเพลิงหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง หลังจากที่รับน้ำชาอุ่น ๆ จากพ่อบ้านมาจิบเพียงเล็กน้อย
“ตอนนี้ยังไม่มี แต่อีกไม่เกินสองสามวันเชื้อเพลิงก็จะหมด ข้าไม่นึกว่าหิมะจะตกลากยาวนานถึงเพียงนี้ ทำให้ทั้งอาหารและเชื้อเพลิงเริ่มไม่เพียงพอ บ่าวบางคนกลับมาเล่าให้ฟังว่าข้างนอกนั้นคนล้มตายจำนวนมากเนื่องจากขาดอาหารและเชื้อเพลิง” ตู้จินเหมยตอบคำถามด้วยความกังวล
“ท่านพ่อ สิ่งนี้เรียกว่าผลลูกหนาม มันขึ้นที่หมู่บ้านหลัวถงขอรับ มันใช้แทนเชื้อเพลิงได้ ขอท่านพ่อบ้านเอาไปทุบให้พอแตก แต่ไม่ต้องละเอียดนะขอรับ แล้วลองเอาไปจุดไฟดู หนึ่งผลจุดไฟได้ประมาณหนึ่งเค่อ แต่ถ้าหากว่าจุดไฟหลาย ๆ ลูก มันจะเพิ่มระยะเวลาและความร้อนของไฟได้ วันนี้ข้าไม่สามารถเอามาให้ได้มากนัก เนื่องจากรถม้าใช้ไม่ได้ พรุ่งนี้ให้ซีฮันไปที่บ้านข้า ข้าจะพาไปเก็บเอากลับมาเยอะ ๆ”
จางอี้เทาอธิบายพลางยื่นผลลูกหนามทั้งหมดให้กับพ่อบ้านรับไปจัดการตามที่ตนเองได้กล่าวไป
“อาเทา ข้าขอบใจเจ้ายิ่งนักที่คิดถึงข้ากับแม่บุญธรรมของเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะให้บ่าวสองสามคนไปหาเจ้าที่หมู่บ้าน ข้าสามารถเอากลับมาเพื่อแจกให้ชาวบ้านคนอื่นได้หรือไม่” หลินไห่เอ่ยถาม
“ท่านพ่อข้าแนะนำให้ท่านเอากลับมาแค่เพียงพอใช้ในเรือนก็พอขอรับ ในเรื่องความช่วยเหลือของชาวเมืองนั้นข้าได้ไปเข้าพบและแจ้งแก่ท่านเจ้าเมืองแล้ว ท่านเจ้าเมืองจะให้ทหารเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ขอรับ อีกอย่างข้าไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เพราะอาจจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดีขอรับ”
จางอี้เทาตอบกลับบิดาบุญธรรม เขาไม่ลืมกล่าวถึงความวิตกกังวลของตัวเองไปด้วย
“ข้ารับรู้แล้วและต้องขอโทษที่ไม่ทันคิดถึงผลเสียที่จะตามมา” หลินไห่ตอบด้วยความเศร้าใจเล็กน้อยเพราะมัวแต่ตื่นเต้นที่ได้ทราบข่าวดี เนื่องจากตนเองก็เป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือชาวบ้านยากจนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงหุนหันพลันแล่นไป
“อย่าได้ขอโทษข้าเลยขอรับ เช่นนั้นพวกข้าต้องขอตัวกลับก่อนนะขอรับ หากกลับช้าการเดินทางจะยิ่งลำบาก” จางอี้เทายกมือคารวะและขอตัวลากลับหมู่บ้านหลัวถงด้วยความสบายใจ
วันนี้เขาได้เห็นว่าบิดามารดาบุญธรรมยังสุขสบายดีไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอันใดก็ค่อยสบายใจขึ้นมา พรุ่งนี้เมื่อซีฮันมารับผลลูกหนามไป เรื่องเชื้อเพลิงก็มิใช่ปัญหาแล้ว
กว่าซุนถงและจางอี้เทาจะกลับมาถึงหมู่บ้านหลัวถงเวลาก็เข้าสู่ช่วงเย็นย่ำ เมื่อเดินเข้าไปในบ้านเห็นมารดาที่ยังคงนอนซมเพราะอาการเจ็บป่วย ทว่ามีหลี่อ้ายคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง อีกทางเป็นบุตรชายที่กำลังเติมลูกหนามลงไปในเตาผิง
จางอี้เทาถึงกับยิ้มออกมา อย่างน้อยครอบครัวของเขาก็ยังอยู่ด้วยกันในเวลานี้ คอยดูแลกัน คอยห่วงใยกัน แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว”
“ท่านพี่กลับมาแล้ว”
จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าเตาผิงและกล่าวออกมาพร้อมหลี่อ้าย จางอี้เทายิ้มกว้าง เขาเดินไปสวมกอดภรรยาและบุตรชายก่อนจะนั่งลงเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“พี่กลับมาแล้ว พ่อกลับมาแล้วหมิงเอ๋อร์ วันนี้พ่อได้ไปเข้าพบท่านเจ้าเมืองและ....”
...
วันนี้เหมือนกับสวรรค์จะไม่เป็นใจให้ชาวเมืองไห่ถัง หิมะที่ตกโปรยปรายเมื่อวานนี้กลับมาตกหนักยิ่งกว่าเดิม รถม้าไม่สามารถใช้สัญจรไปมาได้แม้แต่น้อย หิมะกองสูงท่วมจนถึงหน้าขาของจางอี้เทา อากาศก็หนาวเย็นจนยากต่อการออกไปด้านนอก บ้านจางจึงได้แต่หวังว่าชาวบ้านจะไปเก็บลูกหนามมาเก็บไว้จนเพียงพอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
ด้วยการเดินทางที่ยากลำบาก กว่าทหารของท่านเจ้าเมืองจะมาถึงหมู่บ้านหลัวถงก็ปาเข้าไปยามซื่อ (09.00 – 10.59) แล้ว ทหารที่เดินทางมามีเพียงม้าเท่านั้นที่ถูกพาดด้วยถุงห้อยทั้งสองข้าง และเพราะจำนวนทหารที่มากถึงร้อยนาย ทำให้ชาวบ้านตื่นตกใจไม่น้อยถึงแม้จะรู้มาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม
หมู่บ้านหลัวถงอยู่กันอย่างสงบและเรียบง่ายเสมอมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คุ้นชินกับสถานการณ์นี้
หทารคนหนึ่งลงจากหลังม้าเพื่อถามทางไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อได้รับคำตอบแน่ชัด ทหารทั้งหมดจึงยืนรอตรงปากทางหมู่บ้าน มีเพียงทหารคนหนึ่งขี่ม้าตรงไปยังบ้านซุน รอไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซุนซูเย่ก็นั่งม้ามากับทหารคนนั้นเพื่อนำทางไปยังดงป่าลูกหนามท้ายหมู่บ้าน
ถึงแม้ว่าจะค่ำมืดพวกทหารก็ยังคงจุดไฟเพื่อทำการขนย้ายลูกหนามตลอดทั้งคืน หลังจากนั้นจึงเป็นการขนย้ายลูกหนามกลับเข้าเมืองไป
ทางด้านซีฮันเองก็พาบ่าวในเรือนของบ้านหลินเดินทางมายังบ้านจางเพื่อนำผลลูกหนามกลับไปเช่นกัน เพียงแต่ว่าสามารถขนเอาไปได้แค่วันละรอบเท่านั้น
...
ในคืนนั้น ณ จวนเจ้าเมืองไห่ถัง ถึงแม้ว่าจะดึกดื่นเกินเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ท่านเจ้าเมืองยังคงยืนดูทหารลำเลียงผลลูกหนามเข้ามากองไว้ที่จวน เขาได้ให้ทหารไปป่าวประกาศถึงเชื้อเพลิงที่ให้แต่ละบ้านมารับเอาไปแล้ว รวมทั้งสั่งให้ทหารจำนวนหนึ่งขนไปแจกให้กับชาวบ้านชนบทต่อไปด้วย
“เป็นเช่นไรบ้าง พวกเจ้าได้ไปแจ้งให้หมู่บ้านแถบชายทะเลหาต้นลูกหนามแล้วใช่หรือไม่” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามทหารคนหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากการไปเสาะหาต้นลูกหนาม
“เรียนท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยได้ทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ ข่าวดีคือเราค้นพบต้นหนามอีกจำนวนแปดหมู่บ้านและอยู่ใกล้กว่าหมู่บ้านหลัวถงมาก ข้าได้นำคำสั่งของท่านไปแจกจ่ายให้ทุกหมู่บ้านแล้ว คาดว่าพวกเขาคงไปเอาลูกหนามจากหมู่บ้านเหล่านั้นขอรับ”
“เป็นข่าวดี เช่นนี้ชาวบ้านคงรอดแล้ว เรื่องเชื้อเพลิงแก้ไขปัญหาได้แล้วแต่อาหารเล่า อีกไม่กี่วันคงหมดแบบไม่มีเหลือเป็นแน่ ภัยหนาวปีนี้ช่างเลวร้ายเสียเหลือเกิน” ท่านเจ้าเมืองเปรยออกมาด้วยความวิตกกังวล
“ท่านพ่อ นี่ก็ดึกมากแล้วขอท่านพ่อไปพักผ่อนเถอะขอรับ งานทางนี้ข้าจะรับหน้าที่ต่อเอง ตอนนี้ท่านพ่อสมควรคลายความวิตกไปบ้าง สำหรับเรื่องอาหารเราค่อยมาหาทางกันอีกทีขอรับ” หวงห่าวหรานเอ่ยเตือนบิดา ท่านพ่อของเขาอายุมิใช่น้อยแล้ว หากยังทำงานและวิตกกังวลเช่นนี้ต่อไปอาจจะล้มป่วยลงได้
“อาหร่าน พ่อฝากด้วยนะ” ท่านเจ้าเมืองพยักหน้า ชายชราไม่ดื้อรั้นที่จะทำงานต่อไป
หลังจากเอ่ยฝากฝังเรื่องงานกับบุตรชายแล้ว ท่านเจ้าเมืองจึงเดินกลับไปยังเรือนตนเองเพื่อพักผ่อน เมื่อเข้าไปถึงในห้องนอนก็เห็นฮูหยินของตนเองกำลังเดินเข้ามาเช่นกัน
“ฮูหยินมิใช่ว่าเจ้าไปเยี่ยมถิงเอ๋อร์มาเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเห็นลูกป่วยเช่นนี้แล้วปวดใจยิ่ง” ฮูหยินหวงเอ่ยตอบสามี
“น้องหญิงก็เป็นแม่คนแล้ว คงให้คำแนะนำลูกได้ดีที่สุด ข้าขอโทษที่ช่วงนี้มิได้ไปเยี่ยมถิงเอ๋อร์เลย”
“ท่านพี่ ลูกของเราเข้าใจท่านพ่อของนางเจ้าค่ะ นางยังฝากให้ท่านพี่ดูแลตนเอง รักษาสุขภาพด้วย”
“นี่ถิงเอ๋อร์กินอันใดมิได้เลยเช่นนั้นหรือ” เจ้าเมืองไห่ถังเอ่ยถามภรรยาอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ท่านหมอบอกว่าหากถิงเอ๋อร์ยังแพ้หนักเช่นนี้ กินอันใดก็อาเจียนออกมาเสียหมด อาจจะทำให้นางแท้งได้ ข้าละเป็นห่วงลูกยิ่งนักเจ้าค่ะ” ฮูหยินถอนหายใจออกมาด้วยความโศกเศร้า
หวงเจียถิง บุตรสาวคนโตของนางกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทว่าเกิดอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรง กินอันใดก็มิได้ ซูเหิง ผู้เป็นบุตรเขยก็ไปทำงานที่เมืองหลวงตั้งแต่ก่อนฤดูหนาว กว่าจะกลับมาคงหลังฤดูหนาวไปแล้ว ยิ่งหิมะตกหนักเช่นนี้คาดว่าคงกลับมามิได้ โชคดีที่สามีของบุตรสาวเป็นการแต่งเขยเข้าบ้าน ทำให้นางยังคงอยู่ที่บ้านของบิดาและมารดา
ท่านเจ้าเมืองรักบุตรสาวมากจนทำใจยอมให้นางแต่งออกเรือนไปมิได้ เมื่อบุตรสาวกับเลขาหนุ่มของตนเองผูกสมัครรักใคร่กันแล้ว แม้ต้องแต่งเข้ามาเป็นเขยก็ยินยอม
“หากไม่เกิดภัยหนาวเช่นนี้พวกเราคงป่าวประกาศหาหมอหรือคนที่สามารถทำอาหารให้ถิงเอ๋อร์กินได้บ้าง”
ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจอีกรอบ ปัญหาที่กำลังรุมเร้าอยู่ตอนนี้ในฐานะเจ้าเมือง ชาวเมืองก็เปรียบเสมือนบุตรหลาน ในฐานะบิดา บุตรสาวก็ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าทางไหนเขาก็ไม่สามารถสูญเสียไปได้ทั้งสองทาง
“ท่านพี่พักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงทำงาน” ฮูหยินเอ่ยเตือนสามีก่อนที่จะเดินไปยังเตียงนอนและปลดม่านลงมาเมื่อสามีนอนแล้วเรียบร้อย
ท่านเจ้าเมืองยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ความเครียดรุมเร้าจนศีรษะปวดร้าวไปหมด ทั้งในฐานะพ่อของเมืองและพ่อของหญิงสาวคนหนึ่ง เขาไม่สามารถทิ้งใครไว้เบื้องหลัง มีแต่ต้องทำออกมาให้ดีที่สุดเท่านั้น
ก็ได้แต่หวังว่าสวรรค์จะเมตตา ประทานหนทางรอดมาให้เช่นเรื่องเชื้อเพลิงอีกคราว
...
จากความใจดีของหมู่บ้านหลัวถงและการทำงานอย่างหนักของทหารจวนเจ้าเมือง ทำให้เช้าวันนี้ดูมีชีวิตขึ้นมา ถึงแม้ว่าหิมะจะยังคงตกหนักอยู่ตลอดเวลา แต่ชาวบ้านกลับยิ้มด้วยความดีใจเมื่อพากันทยอยออกมารับผลลูกหนามและเรียนรู้วิธีการก่อไฟ ซึ่งมิใช่เรื่องยากอันใด
ชาวบ้านเข้าแถวรับกระสอบลูกหนามและแบกกลับบ้านกันด้วยความชื่นมื่น ถึงแม้หิมะจะตกหนักไปอีกหลายวันแต่พวกเขาก็รอดตายแล้ว ทั้งหมดต่างโห่ร้องขอบคุณท่านเจ้าเมืองและทหารกันอย่างพร้อมเพรียงเสียงเซ็งแซ่ ชาวบ้านบางคนถึงขนาดนั่งลงไปกับพื้น โขกศีรษะลงกับหิมะที่หนาถึงหน้าขาเพื่อขอบคุณท่านเจ้าเมืองที่ทำให้พวกเขารอดตายในครั้งนี้
บรรยากาศความเปรมปรีดิ์หน้าจวนเจ้าเมืองและถนนที่เต็มไปด้วยชาวบ้านแบกถุงลูกหนามเดินผ่านไปมาช่างแตกต่างจากภายในร้านขายของร้านหนึ่ง
“มันเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้น เหตุใดชาวบ้านถึงไม่มาซื้อถ่านและฟืนที่ข้าประกาศขายออกไปเล่า” ชายชราคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดผ้าไหมชั้นดีเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“นายท่าน ข้าน้อยจะไปสืบข่าวเดี๋ยวนี้ขอรับ” ผู้ช่วยวัยกลางคนบอกกับเจ้านายตนเองแล้วจึงออกไปสืบความด้านนอกร้านทันที
“นี่น้องชาย พวกเจ้ากำลังขนสิ่งใดกันอยู่หรือ” ชายคนนั้นรีบดึงแขนเสื้อของชาวบ้านที่เดินผ่านไปไว้อย่างรวดเร็ว
“ผลลูกหนามที่ท่านเจ้าเมืองแจกไว้สำหรับใช้แทนเชื้อเพลิงเช่นใดเล่า เจ้าอย่ามาแย่งของข้านะ หากเจ้าต้องการก็จงไปขอรับได้ที่จวนเจ้าเมือง ข้าไปล่ะ” ชาวบ้านคนนั้นรีบเดินหนีไป
เมื่อสอบถามจากชาวบ้านไม่ได้เรื่อง ผู้ช่วยชายคนนั้นจึงเดินไปสอบถามทหารที่ยืนแจกผลลูกหนามอยู่ เขาสอบถามนานกว่าหนึ่งเค่อจึงได้ข้อมูลมา ชายวัยกลางคนรีบนำความไปแจ้งให้กับเจ้านายของตนทันที
“นายท่าน นายท่านข้าสืบความมาได้แล้วขอรับ”
“ได้ความเช่นใดบ้าง” นายท่านผู้เป็นใหญ่ถึงกับเอ่ยเร่งก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงตรงโต๊ะทำงาน
“ท่านเจ้าเมืองกำลังแจกผลลูกหนามที่สามารถใช้แทนเชื้อเพลิงให้กับชาวบ้านอยู่ขอรับ ภัยหนาวที่ชาวบ้านกำลังประสบอยู่จึงได้รับการแก้ไขแล้ว เช่นนั้นมิใช่ว่า......” ผู้ช่วยพูดออก เขายังกล่าวไม่ทันจบก็ต้องหุบวาจาลง เมื่อสีหน้าของเจ้านายเริ่มบิดเบี้ยวเพราะรู้ว่าตนกำลังจะพูดอันใดออกไป
“ใคร! มันเป็นใครที่ทำให้แผนการของข้าล้มเหลว ข้าไม่เชื่อว่าผลลูกหนามนั่นจะเป็นความคิดของท่านเจ้าเมือง เพราะหากว่าใช่ ท่านเจ้าเมืองคงไม่รอให้ชาวบ้านตายไปตั้งมากมายเช่นนี้ก่อนที่จะเอามาแจกเป็นแน่” ชายชราถึงกับตบมือลงโต๊ะอย่างแรง
“นายท่าน มีทหารคนหนึ่งบอกว่าเรื่องผลลูกหนามนี้ได้มีชาวบ้านมาหาท่านเจ้าเมืองและแจ้งวิธีจุดไฟขอรับ ข้าถามไปถามมาจึงรู้ว่าเป็นชายคนนั้น คนที่เป็นบุตรชายบุญธรรมของเถ้าแก่หลินไห่ เหลาซิ่งฝูขอรับ”
“อะไรนะ เป็นมันอีกแล้วหรือ มันจะเป็นมารขัดขวางความร่ำรวยของข้าไปทุกครั้งเลยเช่นนั้นหรืออย่างไร ดี ในเมื่อเจ้าทำกับข้าไว้เช่นนี้ ก็อย่าได้อยู่อย่างสงบสุขเลย” ชายวัยชราแสยะยิ้มออกมาดูชั่วร้าย ก่อนที่จะเรียกผู้ช่วยของตนเองเข้ามาใกล้ ๆ แล้วสั่งงานออกไป
“นายท่าน มิร้ายแรงเกินไปหน่อยหรือขอรับ” ผู้ช่วยเอ่ยถามด้วยความตกใจหลังจากที่ได้ยินคำสั่งนั้นแล้ว
“ฟืนพวกนี้ ถ่านพวกนี้ รู้หรือไม่ว่าข้าต้องเสียเงินไปมากมายเพียงไหนในการกักตุนไว้ เจ้าจะไม่ทำก็ได้แต่เจ้าต้องจ่ายเงินทั้งหมดนี้มาให้ข้า ตัดสินใจให้ดีแล้วจงเลือกเอาว่าจะทำเช่นไร เจ้าไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
ชายชรายืนขึ้นเดินออกไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขามองออกไปข้างนอก ถือถ้วยชาติดมือมาด้วย ดื่มด่ำบรรยากาศคล้ายกำลังชื่นชมสวนที่ดอกไม้กำลังเบ่งบาน จินตนาการว่าพวกมันชูช่อดอกสว่างไสวส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ซึ่งแตกต่างจากความจริงที่มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด
“หึ เช่นนั้นก็อย่าได้อยู่กันอย่างสงบสุขเลย ฮะ ฮะ ฮะ”
เรื่องราวนี้ได้เริ่มจากการที่ “ที่รัก” สาวสวยพนักงานใหม่ ตกลงยินยอมแกล้งเป็นแฟนปลอม ๆ ให้ “กันต์ธี” ประธานบริษัทหนุ่มสุดหล่อมาดนิ่ง เจ้าของธุรกิจมากมายรวมทั้งบริษัทที่เธอได้ทำงานอยู่ แต่จากแค่แกล้งเป็นแฟนปลอม ๆ หลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อทั้งคู่เริ่ม “แอบมีใจให้กัน” เพราะตอนที่ใช้เวลาร่วมกันนั้นได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งวายป่วงน่าปวดหัว สนุก มีความสุข และอบอุ่นหัวใจ แต่ด้วยเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในตอนต้น ด้วยสถานะทางสังคมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาจะกล้าก้าวข้ามเส้นความแตกต่างนั้นหรือไม่? ความรักของทั้งสองจะก่อเกิดขึ้นมาได้จริงหรือ?
สวี่กงเหมย บุตรสาวบุญธรรมของปรมาจารย์หมื่นพิษ ต้องคอยเป็นผู้ดูแลและปรุงยาให้กับเขา ท่านแม่ทัพแห่งแดนเหนือ ตั้งแต่อยู่บนหุบเขาหมื่นพิษ แล้วยังต้องตามไปดูแลถึงชายแดนเหนือและในเมืองหลวงจนกว่าจะครบหนึ่งปี เซวียนจางหย่ง แม่ทัพแห่งชายแดนเหนือ ผู้ที่มีศักดิ์และฐานะอันสูงส่ง ในชีวิตนี้ คุณหนูนางใด หญิงสาวคนไหน ที่ว่ามีความเพียบพร้อมในทุกด้าน ตัวเขากลับมิเคยชายตาแล แต่คงใช้ไม่ได้กับสาวน้อยบ้านป่าคนนี้ เจอกันครั้งแรกนางก็หมายยิงเขาด้วยธนูเสียเเล้ว จากนั้นตัวเขาและนางก็กลายเป็นเหมือนน้ำมันกับไฟ ถึงแม้นางจะกลั่นแกล้งเขาไว้มากน้อยเพียงไหนในตอนที่อยู่ในหุบเขาหมื่นพิษ เขากลับมิเคยโกรธ และไม่รู้ว่านานเพียงใด ที่ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น สายตาของเขาก็มีไว้เพียงมองนางเท่านั้น
สูงศักดิ์ดั่งจักรพรรดิ หรือสามัญชนเช่นบัณฑิต ล้วนถูกพิชิตด้วยภรรยาตัวน้อย สามีจวนอื่นข้านั้นไม่รู้ แต่สองอาหลานราชวงศ์จิ่งล้วนถูกภรรยากลั่นแกล้ง ชุนเสี่ยวป๋าย จะให้ทำอย่างไรได้เล่า บัณฑิตเฒ่าผู้นั้นมิเคยมีท่าทีพึงใจในสตรีนางใด หากชุนเสี่ยวป้ายเฝ้ารอให้เขาเข้ามาทำความรู้จักนางเองแล้วนั้นคงไม่มีวันได้ครองรักกันแน่ ดังนั้นนางจึงต้องบอกกล่าวด้วยตัวเองเสียเลย บัณฑิตเฒ่าผู้แสนหล่อเหลาเจ้าคะ ข้าจะไปเกี้ยวท่านเอง... อู่ซุนต้าเอ้อร์ นางถูกเขาจับพลิกแพลงตะแคงคว่ำอยู่นาน เขาก็ยังมิยอมสงบ พายุรักโหมกระหน่ำดูดแรงกายของอู่ซุนต้าเอ่อร์จนแทบหมดสิ้น ทนแทบมิไหว พลั่ก!! โครม!! รู้ตัวอีกทีทั้งห้องก็เงียบสงัดไร้เสียงหอบกระเส่าและครวญครางเหมือนเมื่อครู่ ร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนของจักรพรรดิน้อยลงไปกองอยู่ข้างตั่งเตียงโดยมีปลายเท้าของนางยื่นออกไป เหลียนไช่ บัณฑิตเหลียนไช่ซุกไซร้ลำคอขาวของภรรยา เขาสูดดมและขบเม้ม ไล้มือไปทั่วกายนุ่มของนางอย่างหลงใหล มิไหวแล้ว... เขามิอาจทนความน่ารักของชุนเสี่ยวป๋ายได้อีกแล้ว.... “ข้าพลาดแล้วจริงๆ ที่สัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเจ้า” จิ่งซานหวง “มิใช่ว่าหม่อมฉันต้องปรนนิบัติพระองค์เหมือนสามีภรรยาหรอกหรือเพคะองค์จักรพรรดิ” “ก็มิใช่ว่าข้าให้เจ้าปรนนิบัติอยู่หรอกหรือ” เขาว่าพลางหลับตาลงไม่อยากมองหน้าสนมโจว นางจึงต้องจำใจอ่านตำราให้เขาฟังอย่างเสียมิได้ คิดมิถึงว่าจักรพรรดิน้อยจะหาทางหลบเลี่ยงการร่วมเตียงกับนางจนได้ ล่วงรู้ไปถึงไหนอับอายไปถึงนั่น ท่ามกลางความซ่านเสียวอู่ซุนต้าเอ่อร์ก็อดถอนใจให้กับตนเองมิได้ คราแรกคิดว่าคืนนี้นางจะได้นอนสบายมิต้องโดนเขาเคี่ยวกรำอยู่แล้วแท้ ๆ แล้วเหตุใดนางจึงยังถูกเขาจับกินได้อีกเล่า!!
สูงศักดิ์ดั่งจักรพรรดิ หรือสามัญชนเช่นบัณฑิต ล้วนถูกพิชิตด้วยภรรยาตัวน้อย สามีจวนอื่นข้านั้นไม่รู้ แต่สองอาหลานราชวงศ์จิ่งล้วนถูกภรรยากลั่นแกล้ง ชุนเสี่ยวป๋าย จะให้ทำอย่างไรได้เล่า บัณฑิตเฒ่าผู้นั้นมิเคยมีท่าทีพึงใจในสตรีนางใด หากชุนเสี่ยวป้ายเฝ้ารอให้เขาเข้ามาทำความรู้จักนางเองแล้วนั้นคงไม่มีวันได้ครองรักกันแน่ ดังนั้นนางจึงต้องบอกกล่าวด้วยตัวเองเสียเลย บัณฑิตเฒ่าผู้แสนหล่อเหลาเจ้าคะ ข้าจะไปเกี้ยวท่านเอง... อู่ซุนต้าเอ้อร์ นางถูกเขาจับพลิกแพลงตะแคงคว่ำอยู่นาน เขาก็ยังมิยอมสงบ พายุรักโหมกระหน่ำดูดแรงกายของอู่ซุนต้าเอ่อร์จนแทบหมดสิ้น ทนแทบมิไหว พลั่ก!! โครม!! รู้ตัวอีกทีทั้งห้องก็เงียบสงัดไร้เสียงหอบกระเส่าและครวญครางเหมือนเมื่อครู่ ร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนของจักรพรรดิน้อยลงไปกองอยู่ข้างตั่งเตียงโดยมีปลายเท้าของนางยื่นออกไป เหลียนไช่ บัณฑิตเหลียนไช่ซุกไซร้ลำคอขาวของภรรยา เขาสูดดมและขบเม้ม ไล้มือไปทั่วกายนุ่มของนางอย่างหลงใหล มิไหวแล้ว... เขามิอาจทนความน่ารักของชุนเสี่ยวป๋ายได้อีกแล้ว.... “ข้าพลาดแล้วจริงๆ ที่สัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเจ้า” จิ่งซานหวง “มิใช่ว่าหม่อมฉันต้องปรนนิบัติพระองค์เหมือนสามีภรรยาหรอกหรือเพคะองค์จักรพรรดิ” “ก็มิใช่ว่าข้าให้เจ้าปรนนิบัติอยู่หรอกหรือ” เขาว่าพลางหลับตาลงไม่อยากมองหน้าสนมโจว นางจึงต้องจำใจอ่านตำราให้เขาฟังอย่างเสียมิได้ คิดมิถึงว่าจักรพรรดิน้อยจะหาทางหลบเลี่ยงการร่วมเตียงกับนางจนได้ ล่วงรู้ไปถึงไหนอับอายไปถึงนั่น ท่ามกลางความซ่านเสียวอู่ซุนต้าเอ่อร์ก็อดถอนใจให้กับตนเองมิได้ คราแรกคิดว่าคืนนี้นางจะได้นอนสบายมิต้องโดนเขาเคี่ยวกรำอยู่แล้วแท้ ๆ แล้วเหตุใดนางจึงยังถูกเขาจับกินได้อีกเล่า!!
กู้เฟยหลง หัวหน้าหน่วยอวี้หลิน ขุนนางผู้ซึ่งทำงานขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ เสียชีวิตจากการตามสืบราชการลับ ทั้งที่ได้ให้สัญญาไว้กับฮูหยินของตนเองว่าจะรีบกลับมาฉลองเทศกาลหยวนเซียวด้วยกัน หยางลี่อิน หญิงสาวที่เข้มแข็ง มีความรู้ทางด้านการแพทย์ ต้องสูญเสียสามีไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่ด้วยความสามารถพิเศษ ทำให้นางรู้ว่าสามีของนางยังไม่จากไปไหน แต่จะทำเช่นไร เมื่อสามีกลับจำนางไม่ได้ เพราะรักจึงท้าทายสวรรค์ ฝืนหวนกลับคืนมายังโลกเบื้องหลัง แต่สวรรค์ใช่ว่าใครก็สามารถท้าทายได้ ราคาที่ต้องจ่าย มักแพงกว่าเสมอ…
อานนท์ ชายหนุ่มโสดอายุ 25 ปี หน้าตาดาษดื่น เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าอุ่นไอรัก อาชีพหลักคือการขายอาหารตามสั่งในฟู๊ดเซนเตอร์ห้างดัง อาชีพรองเป็นผู้ช่วยนักเขียนนิยาย รับจ้างหาข้อมูลต่าง ๆ ส่งให้กับนักเขียน งานไหนได้เงิน อานนท์ทำทั้งหมด ในวันหยุดยาว กลางวันนอกจากต้องไปยืนทำอาหารตามสั่ง กลางคืนยังต้องมานั่งหาข้อมูลส่งให้ผู้ว่าจ้างงานด่วนอีก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ วิญญาณจึงบ๊ายบายจากโลกเก่า ไปเกิดใหม่ในร่างของจางอี้หมิง บุตรชายตัวน้อยอายุ 5 ขวบของบัณฑิตจาง ที่ถูกบ้านหลักมอบหนังสือแยกบ้าน พร้อมขับไล่ครอบครัวให้มาอยู่บ้านนอก อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ แม่ และย่าตามที่อานนท์เคยฝันไว้ แต่ทำไมถึงแถมความยากจนมาให้เขาด้วย ชาติก่อนก็สู้ชีวิตจนตาย มาชาตินี้ชีวิตสู้กลับยิ่งกว่านิยายที่เขาเคยอ่านเสียอีก นี่สินะ!!! ของฟรีไม่มีในโลก มันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!