บทที่ ๓ ฉานฉูรับราชโองการ
“ฉานฉูรับราชโองการ!”
ในยามรุ่งเช้าเสียงประกาศก้องดังกังวานหน้าห้องขังที่สามพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน
นางจึงหันมองหน้าสองพ่อลูกพลันอย่างงุนงง ก่อนที่องครักษ์เหวินนั้นจะพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้นางลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าเตรียมรับราชโองการอย่างที่หม่ากงกงขันทีเฒ่าผู้นั้นได้แหกปาก
ขงเฉว่เองก็รับทำตามผู้เป็นบิดาโดยพลัน ภาวนาในใจว่าขอให้ไม่ใช่การลงโทษใด ๆ ก็ตาม ในหัวของเขานึกถึงละครชื่อดังของจีนอย่างเปาปุ้นจิ้น การไต่สวน และจบด้วยเครื่องประหารหัวสุนัข!
มือเหี่ยวแห้งจับม้วนราชโองการคลี่พลางเอ่ยออกมา
“ทำคุณความความดี ฟื้นฟูพระวรกายฮ่องเต้ ควรค่าแก่การยกย่อง ได้รับตำแหน่งเป็นไฉเหริน !”
เด็กน้อยเบิกตากว้าง อ้าปากหวอใต้ผ้าปิดปากผืนนั้น เขากำลังคิดอยู่ในหัวว่านั่นคือตำแหน่งอะไรกัน ก่อนที่ประตูห้องขังจะเปิดออกและมีเหล่านางกำนัลมาช่วยประคองนางขึ้นและกล่าวกับแม่ของเขาว่า “ยินดีด้วยเพคะพระสนม”
บารมีของเจ้าแม่ฉานฉู จึงถูกกล่าวขานว่าเป็นที่ร่ำลือ
ชาวเมืองอู่ถงนั้นต่างสรรเสริญประดุจนางคือเทพเซียนองค์หนึ่งขึ้นมาเป็นจริงเป็นจัง ในขณะที่ชาวเมืองหลวงล้วนกล่าวว่านางคือหญิงกาลกิณีอัปมงคล ทุกคนล้วนต่างสาปแช่งและขับไล่ไสส่งนาง
แม้แต่องครักษ์เหวินเองก็ต้องการขับไล่นางให้กลับยังเมืองอู่ถง หากแต่ฉานฉูถูกนำตัวไปอยู่ในตำหนักที่ได้จัดเตรียมไว้ให้นางเสียแล้ว เขาจึงมาฝากฝังขงเฉว่ไว้ที่สำนักแพทย์หลวงครู่หนึ่งและบอกว่าเขาต้องไปจัดการธุระบางอย่าง
ยามค่ำของวันนั้นเขาเข้าเฝ้าฮ่องเต้และได้บอกความจริงว่าตนคือสามีของหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้น เกิดการผิดใจกันขึ้นมาจนทำให้คนสนิทอย่างองครักษ์เหวินขอให้พระองค์ส่งเขาไปเป็นเพียงทหารรักษาชายแดนที่อู่ถงและขับไล่นางสองแม่ลูกไป
โอรสสวรรค์พิโรธ
เหตุใดตนต้องมาเสียคนสนิทไปเพราะหญิงอัปลักษณ์ไร้ยางอายผู้นั้นกัน
หึ คนสำคัญขององครักษ์เหวินนั้นหรือ
หนึ่งคือหญิงคนรักของสหายคนสนิท
หนึ่งคือพยานรักของพวกเขาทั้งสอง
เด็กน้อยนั้นย่อมกำจัดได้โดยง่าย แต่กับผู้เป็นแม่...
โอรสสวรรค์ผู้นั้นสะบัดผ้าคลุมมังกรอย่างบัลดาลโทสะ บ่นงึมงำดั่งมีผึ้งบินอยู่ในพระกรรณและเต็มในทรงพระอุระ พลันรับสั่งขันทีว่าจะเสด็จไปตำหนักของพระแม่ผู้อัปลักษณ์นางนั้นเพื่อไปต่อว่านางให้หายขุ่นเคือง
“เหวินเกอ”
ฉานฉูเอ่ยขานหาชายคนรักขณะที่ผุดกายลุกขึ้นมานั่งบนตั่งเตียงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยย่างกรายเข้ามาใกล้
นางคล้ายว่ากำลังยิ้ม ปากยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงชายผู้นั้น
หากแต่... ผู้ที่มาเยือนกลับไม่ใช่เขา
“ฝ่าบาท”
น้ำเสียงของนางต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
นางมองเห็นฉลองพระองค์สีเหลืองเด่นหราและมังกรบนลายปักด้ายทองคำก็พลันผุดลุกจากตั่งเตียงมายอบกายทำความเคารพฮ่องเต้ให้ต้าเหลียง
“เจ้า...” สุรเสียงทุ้มนั้นเจือความคับแค้นใจอยู่ไม่น้อย พระเนตรฉายแววความพิโรธเอาไว้ก่อนจะสะบัดชายผ้าแล้วนั่งลงบนตั่งเตียง “เจ้าทำให้เราผิดใจกับองครักษ์เหวิน”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นนางถึงกลับตากระตุก นิ่วหน้าพ่นลมหายใจแรง ๆ ออกมาจากจมูก คุกเข่าลงไปกับพื้นราวกับคนที่กำลังรอรับโทษทัณฑ์
ดวงตามังกรแวววับขึ้นมาคิดว่าช่างง่ายดายเสียจริง ไม่ต่างอะไรกับการพลิกฝ่ามือ ในเมื่อนางเป็นเพียงหญิงสามัญอยู่ในป่าเขา ไม่เคยเผชิญหน้ากลับบุคคลสูงศักดิ์เยี่ยงเขาย่อมหวาดกลัวเป็นธรรมดา
หากริมฝีปากที่กำลังจะเอ่ยของนางหาใช่ประโยคร้องขอให้ไว้ชีวิตจะเป็นเรื่องใดได้อีก
“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันโง่เขลาเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ว่าพระองค์ทรงตรัสเรื่องอะไรเพียงแต่...”
อะไรกัน... นางไม่ได้หวาดกลัวเราแม้แต่น้อยเลยรึ?
“เราหมายถึง...”
นางยังพูดไม่จบประโยค เสียงทุ้มนั้นก็เอ่ยขึ้นมาราวกับกำลังอธิบาย แต่นางหาได้ใส่ใจไม่เอ่ยขัดขึ้นมาอย่างไม่กลัวตาย
“หากหมายถึงการที่พระองค์ประทานรางวัลให้หม่อมฉันได้มีชีวิตสุขสบายและมีเงินทองกองมากมาย มากพอจะเลี้ยงดูลูกชายของหม่อมฉัน เทียบกับผู้เป็นบิดาเช่นเขาที่ไม่คิดจะเหลียวดูเลย หม่อมฉันคิดว่าองครักษ์เหวินก็คงโง่เขลาไม่แพ้หม่อมฉัน เงินและทองที่พระองค์ประทานให้ต่อชีวิตให้แม่ผู้โลภมากอย่างหม่อมฉันได้อีกนาน ต่างจากชายผู้นั้นที่เงินทองก็มิเคยมีส่งเสียเป็นค่าเลี้ยงดูลูกชายของตน”
นางสนมผู้นี้เชิดใบหน้าขึ้น สบสายพระเนตรอย่างไร้ความหวาดกลัวและเนียมอาย ไร้การยั่วยวนและกระหายที่จะเป็นหงส์ฟ้าเคียงบัลลังก์
ปากพูดว่าเงินทอง แต่ก็จบที่คำว่าลูก
ปากพูดว่าเงินทอง
แต่บนตัวของนางไม่มีแต่เครื่องประดับ
ปากพูดว่าเงินทอง
แต่ไม่มีทรัพย์สมบัติอันมีค่าสักชิ้นในห้องของนาง
พระเนตรมังกรฉายแววสงสัยระคนสนใจปะปนคล้ายดังว่ากำลังสนใจในตัวของนาง
ข้ออ้างทั้งเพ ข้ออ้างในการตัดเยื่อใยกับองครักษ์เหวิน ทว่าแฝงความรำพึงรำพัน
ความจริงนางมีทรัพย์สมบัติเป็นของตนเอง เราส่งคนตามสืบได้ว่านางหมอตำแยผู้สำรอกเป็นเงินทองไว้มากมายแต่นางเก็บซ่อนเอาไว้ ดูท่าคงจะเก็บไว้ให้บุตรชายของนาง
ร้ายกาจยิ่งนัก...
“แทนที่จะซาบซึ้งในพระคุณแต่กลับกระทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้ หม่อมฉันเองก็เหนื่อยใจกับชายผู้เป็นสามีของหม่อมฉันเหลือเกิน พระองค์หวังดีที่จะชุบชีวิตหญิงต่ำต้อยมาเลี้ยงดู ทว่ากลับต้องผิดใจกับองครักษ์คนสนิทเพราะทรงวู่วามและขาดสติ ทำตามใจแต่งตั้งหม่อมฉันเข้าวังใน หมายจะแยกพ่อแม่ลูกจากกัน”
ดูท่า... นางกำลังจะโยนความผิดว่าเป็นเราที่สวมหมวกเขียว ให้แก่องครักษ์คนสนิทของเราเสียเอง
“พอเถิดสนมรัก”
เราจะมาด่าเจ้า แต่ถูกกลับตอกกลับเช่นนี้ เป็นเราต่างหากที่โง่เขลา...