'[กรุณายืนยันทำภารกิจ]' 'เอก' นักสืบพาร์ทไทม์วัยสิบห้าปีจากบริษัทนักสืบเอกชนมีระบบเก็บแต้มสืบสวนที่ไม่รู้ว่ามันเก็บแต้มไว้เพื่ออะไร ได้แฝงตัวเข้าไปสืบคดีฆาตกรรมในโรงเรียนประจำที่มีกฎเคร่งครัด คือห้ามนักเรียนออกจากหอหลังสองทุ่ม แต่ยังเริ่มสืบไม่ทันไรก็มารู้ว่าฆาตกรเป็นแวมไพร์.. แล้วทำไมไอสารวัตรนักเรียนหน้านิ่งจอมเผด็จการ 'โอดิน' ศัตรูคู่(แอบ)อาฆาตของเอกตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอ คนเจ้ากี้เจ้าการเรื่องกฎโรงเรียนนักหนามันดันเป็นแวมไพร์ไปด้วยวะนั่น! 'หัวหน้า! ฆาตกรเป็นแวมไพร์จริงด้วย' 'ฉันใส่ไม้กางเขนไว้ในกระเป๋าให้แล้ว ขอให้โชคดี..' หัวหน้าsaid: ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ💅 *เรื่องนี้เป็น ชายxชาย* … !!คำเตือน!! คำหยาบ/เลือด/สภาพศพ/ความรุนแรง/ปีศาจ/ความเชื่อ/การทารุณกรรม/ฉากเพศสัมพันธ์ุ/มีเพศสัมพันธุ์หมู่โดยไม่ยินยอม/ทำร้ายร่างกาย
บรรยากาศเงียบสงัดปกคลุมบนทางเดินมืดมิด บนพื้นปูพรมหนาสีน้ำเงินเข้มปักลายขนนกสีทอง ฝีเท้าอ่อนนุ่มย่างระหว่างทาง แสงสว่างริบหรี่จากหน้าจอสมาร์ทโฟนส่องไปตามทางเดินกว้าง
เด็กสาวหน้าตาน่ารักในเสื้อยืดสีชมพูอ่อน กางเกงยีนส์ขาสั้นเดินสยายปราย เส้นผมสีน้ำตาล ใบหน้าอวบอิ่มอารมณ์ดีคลี่ยิ้มหลังจากเสร็จภารกิจร่วมรักกับแฟนหนุ่มหนาตาดีสดๆร้อนๆ
ยามวิกาลที่ทั้งหอหญิงและชายถูกแบ่งแยกคนละส่วน ทำให้เหล่านักเรียนวัยรุ่นแอบไปมาหาสู่มีเพศสัมพันธุ์เช่นนี้ประจำ
ความมืดรอบด้านถูกละความสนใจแทนที่ด้วยอารมณ์เบิกบาน หญิงสาวตัวเล็กก้าวเดินอย่างระวังพลางฮัมเพลงในหัว เพราะเกรงจะมีคนมาเห็นที่เธอแหกกฎโรงเรียน
โดยเฉพาะพวกสารวัตรนักเรียนนั่น..
ตึก ตึก
สองขากำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดเดินกะทันหัน ผมสีน้ำตาลสะบัดพรึบตามแรงหันใบหน้า ดวงตากลมตาเหล่มองบานประตูด้านข้างที่เธอหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เสียงเมื่อครู่ที่ได้ยินเหมือนมีใครบางคนกระทำบางอย่างอยู่ภายในนั้น
หรือว่าจะมีคนออกมานอกห้องเหมือนกัน..
เด็กสาวเกิดความสงสัยฉับพลัน
มือเล็กขยับยื่นไปจับกลอนประตูก่อนจะหมุนให้ลูกบิดคลาย
ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะราวกับอยู่ในหนังสยองขวัญ แค่เรื่องมีคนออกมาปวนเปี้ยนข้างนอกเหมือนเธอ แต่ทำไมภายในใจถึงสั่นเหมือนกำลังลุ้นระทึกโดยไม่ทราบสาเหตุ
เป็นพวกสารวัตรนักเรียน
หรือจะเป็นพวกที่มีรสนิยมทางเพศแบบเอาท์ดอร์กันนะ..
คิดแล้วคนพวกนี้ก็ใจสู้ใช่เล่น ที่แอบมาเอากันนอกหอพักหลังสองทุ่มในขณะที่พวกสารวัตรจอมเผด็จการนั่นจมูกไวยิ่งกว่าสุนัข ถึงจะหน้าตาดีก็เถอะ
เธอเก็บโทรศัพท์แล้วเพ่งลูกตาไปยังช่องเล็กที่ประตูเริ่มแง้มออกทีละนิด พอมันอ้าจนชะโงกหน้าเข้าไปด้านในได้ม่านตาก็หรี่เล็ก ไม่มีเสียง ไม่มีแสงไฟ ไม่มีอะไรเพราะมันมืดไปหมดทุกด้าน
เธอตัดสินใจล้วงสมาร์ทโฟนจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดไฟส่องไปยังเบื้องหน้า เวลานี้มันจะเป็นอะไรก็ช่างแต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า
แล้วเมื่อความสว่างมีมากพอเธอถึงได้เห็นภาพที่ทำให้เข่าทรุดไปกับพื้น โทรศัพท์ราคาแพงล่วงตุ้บเหลือแค่มือที่สั่นเร่าราวลูกนก ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างพร้อมกับแผดเสียงออกมาดังลั่น
“กรี๊ดดดดดด!!!”
เบื้องหน้าเป็นนักเรียนชายคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้สีดำ ศีรษะเขาตะแคงซบบนเปียโน ใบหน้าซีดหันมาทางเธอ แต่ลูกตาสองเบ้ากลวงโบ๋ มีหยาดเลือดไหลจากเปลือกตาล่างเป็นเส้น มือทั้งสองข้างห้อยไกวลงมา
หญิงสาวคลานหลังชนกำแพงพลางเอามือปิดหน้าแผดร้องด้วยความกลัวสุดขีด ด้วยความตกใจทำเอาเธอช๊อคหวาดผวาไปทั่วตัว จากนั้นสติน้อยนิดก็ดับวูบท่ามกลางความมืดมิด
***
ชีวิตนักเรียนมัธยมปลายคนนึงเหมือนกำลังจมดิ่งสู่เหวลึก เวลาช่วงเย็นแทนที่จะได้นั่งอ่านหนังสือสอบหรือออกไปฉลองกับเพื่อน สร้างความทรงจำดีๆก่อนโตเป็นผู้ใหญ่แต่ ‘เอก’ ต้องอดหลับอดนอนทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่เว้นวัน
ด้วยภาระหนี้สินทางบ้านกองท่วมหัวจนไม่รู้ว่าทั้งชีวิตสามารถจ่ายหนี้ให้ได้หมดไหม ทำให้เขาต้องกัดฟันแบกภาระสู้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองที่มี
“แม่..ขอโทษนะที่ไม่สามารถส่งลูกเรียนต่อได้”
และตอนนี้ชีวิตของเอกกำลังพังยับเยินอีกครั้ง การศึกษาที่จะเป็นตัวเปลี่ยนชีวิตอย่างเดียวกำลังถูกพรากออกไปจากเด็กที่กำลังขึ้นมอห้า
อีกแค่สองปีจะได้ขึ้นมหาวิทยาลัย
อีกแค่ไม่กี่ปีจะได้มีงานดีๆทำแล้วแท้
แต่เอกก็โกรธแม่ไม่ลง แม่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ต่างคนต่างสู้สุดความสามารถแต่โชคชะตาให้เขามาได้ไกลแค่นี้
“ไม่เป็นไรครับ” เขาว่าเสียงเรียบแต่ภายในเหมือนใจกำลังแตกเป็นเสี่ยง เอกเดินผ่านมารดาแท้ๆเข้าห้องเก่าๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยสภาพห่อเหี่ยว
ขนาดทั้งเขาทั้งแม่ช่วยกันทำงานยังหาเงินไม่มากพอสำหรับการเรียนและปลดหนี้
เพราะไอพ่อเลี้ยงเฮงซวยนั่น!! ที่ทำให้ชีวิตแม่ลูกตกนรกแบบนี้
เอกสูดหายใจเข้าลึกๆ เปิดลิ้นชักหยิบป้ายชื่อที่มีสายห้อยคอขึ้นมา บนนั้นมีตราสัญลักษณ์ของบริษัทนักสืบเอกชนและตัวหนังสือสลักไว้ว่า‘เอริกา’
ตัดสินใจได้จึงเก็บมันใส่กระเป๋าออกจากหอเก่าซอมซ่อแล้วมุ่งหน้าไปยังที่ทำงานทันที บริษัทนักสืบเอกชนเป็นที่ทำงานพาร์ทไทม์ของเขาอีกงาน ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในซอกหลืบหลบสายตาผู้คนซึ่งว่าหายากแล้วแต่หน้าร้านยังถูกบังด้วยคาเฟ่มินิมอลเป็นฉากบังหน้า
“ลมอะไรโชยมาถึงที่นี่ล่ะ เอริจัง”
“เอริบ้านพ่อพี่สิครับ” เพียงเปิดประตูเข้ามาก็โดนเพื่อนร่วมงานทักทาย ชายหนุ่มอายุมากกว่าเอกหกปี เขาเป็นหนึ่งในนักสืบของเครือบริษัทแห่งนี้และวันนี้ก็เป็นเป็นเวรพี่แกเก็บหน้าร้าน เอกกับเพื่อนร่วมงานที่นี่ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีถึงแม้จะเดินเข้าบริษัทนับครั้งได้
เอกรู้ทางดีจึงไม่ต้องขออนุญาตให้ยุ่งยาก เดินเข้าไปหลังร้านแล้วขึ้นบันไดไปชั้นสาม จนถึงบานประตูแก้วติดฟิล์มสีดำสนิท
ติ๊ด
เพียงเขาใช้ป้ายชื่อที่หยิบมาเป็นบัตรแสกนเข้าเครื่อง บานประตูก็เลื่อนออกอัตโนมัติ เท้าเดินไปยังประตูห้องทำงานเล็กๆสีดำแล้วก็เปิดมันออกก่อนจะเดินเข้าไปทันที
“มาทำงานได้แล้วหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยทักในขณะที่ร่างหนาในเสื้อสูทสีกากีนั่งไขวห้างหันหลังบนเก้าอี้หนัง มือยกแก้วกาแฟจิบสบายใจ พลางเบือนสายตาออกไปนอกกำแพงกระจก
“ช่วงนี้มีงานอะไรที่ได้เงินดีบ้างครับ”
“มาถึงก็พูดเรื่องเงินเลยนะ”
แน่นอนว่าบริษัทเล็กๆแห่งนี้ จัดตั้งเพื่อรับงานสืบสวนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิปาถะอย่างเช่นตามสืบผัวชาวบ้าน ยันคดีที่ตำรวจเทแล้วยัดงานมาให้บริษัททำ
พอรับงานมาหัวหน้าก็จะยัดงานให้ลูกน้องแต่ละคนทำอีกที
และหัวหน้าที่ว่าก็คือชายวัยกลางคนตรงหน้าเขานี่แหละ..
แต่เอกเป็นคนที่เด็กที่สุดซ้ำยังไม่บรรลุนิติภาวะ งานแต่ละอย่างที่เคยรับจึงเป็นพวกงานสืบข้อมูลชาวบ้านง่ายๆ มีบางครั้งที่มีโอกาสได้เป็นลูกมือของรุ่นพี่ในคดีที่ตำรวจโยนมาให้
ส่วนค่าแรงจะขึ้นอยู่ที่ผู้ว่าจ้าง เขารับทำงานนี้แบบพาร์ทไทม์เพราะงานสืบสวนต้องใช้เวลา เลยทำควบคู่การเรียนและงานอื่นไม่ไหว งานแต่ละอย่างที่ส่งมามักเป็นเรื่องชู้สาวเสียส่วนใหญ่ นานๆทีถึงได้คดีจากตำรวจมาทำแบบจริงๆจังๆ
เอกมีโอกาสได้เข้าทำงานเพราะหัวหน้าคนนี้ดันไปเจอเขาวันสอบเทียบวุฒิปริญญาตรีในคณะจิตวิทยาอาชญากรรมถึงจะสอบไม่ผ่าน แต่ไม่รู้อะไรเกิดดลใจหัวหน้าขึ้นมาเลยชักชวนให้เอกทำงานร่วมกันทั้งที่เขายังอายุไม่ถึงสิบแปด
นับว่าดีเพราะบริษัทเล็กๆนี้ เคยรับคดีของตำรวจมาทำและบางงานยังได้เครดิตเป็นนามแฝงอยู่บ้าง พอรู้อย่างนั้นเลยตัดสินใจเข้าทำงานเผื่อเก็บเป็นผลงานเข้ามหาวิทยาลัย
“ผมต้องการงานที่ได้ราคาดีๆ ช่วงนี้มีบ้างมั้ยครับ”
หัวหน้า‘อลัน’ผู้เป็นคนก่อตั้งบริษัทนักสืบ เอนหลังหมุนเก้าอี้หนังดำขลับหันกลับมาจนเห็นใบหน้าคมเข้มตามวัยเข้าเลขสี่ เขาวางแก้วกาแฟไว้บนจานรองแล้วหยิบแฟ้มข้างโน๊ตบุ๊ควางแหมะไว้กลางโต๊ะ
“ผู้ว่าจ้างให้มาในราคาสิบล้าน”
“สิบล้าน!” เอกตกใจถลึงลูกตากลมอยู่แล้วให้กว้างกว่าเดิม ตั้งแต่ทำงานมาไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่ของพวกพี่ๆ เขาไม่เคยเจอผู้ว่าจ้างที่เสนอราคาสูงเท่านี้มาก่อน ด้วยความไม่เชื่อหูจึงต้องหยิบแฟ้มขึ้นมาดูเนื้อหางานว่าทำไมผู้ว่าจ้างถึงกล้าให้ราคาแรง
“เดี๋ยวนะ นี่มัน..คดีฆาตกรรมเลยหนิครับ! แล้วไม่ได้เป็นคดีผ่านจากตำรวจด้วย”
“ผู้ว่าจ้างส่งมาด้วยตัวเอง แล้วตอนนี้คนอื่นก็รับงานกันหมดแต่นายก็เหมาะกับงานนี้ที่สุดอยู่ดี” เขากวาดสายตาอ่านเนื้อความในแฟ้ม คดีแนวนี้เอกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินอยู่ครั้งนึงแล้วก็โดนปิดข่าวภายหลัง
เนื้อหามันบอกว่าเกิดเหตุในโรงเรียนเอกชนแล้วยังเป็นโรงเรียนประจำ ด้านล่างเขียนสภาพของผู้เสียชีวิตเอาไว้คร่าวๆ
ร่างกายผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เริ่มซีดซึ่งคาดว่าเป็นพฤติการณ์การตายที่สมองขาดเลือดกะทันหัน บางรายถูกตัดอวัยวะบางส่วนออกไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ แต่ละศพจะพบรูเล็กๆสองรูคล้ายคมเขี้ยวบริเวณลำคอ ต้นขา ข้อมือ เนินอก หรือส่วนอื่นตามร่างกาย อีกทั้งเลือดในร่างกายยังถูกสูบออกไป
“แต่พอมาคิดดูอีกที งานนี้ก็ดูอันตรายเหมือนกัน คดีนี้เคยเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อนแต่ก็โดนปิดข่าวไปดื้อๆ”
ฝ่ามือหนาเคาะนิ้วทั้งห้าบนโต๊ะทำงาน มองร่างเด็กหนุ่มผมสีครามน้ำทะเลยืนทำตาลุกวาวปนความสงสัยยามอ่านเนื้อหางาน
“เอริ..รู้จักแวมไพร์มั้ย” เด็กหนุ่มละดวงตากลมโตเป็นเอกลักษณ์จากแฟ้มในมือ สบตาใบหน้าขรึมของหัวหน้างาน
“เห็นผมเป็นเด็กหรอครับ อีกอย่างผมชื่อเอกไม่ใช่เอริ” หัวหน้านักสืบไหวไหล่ออกแนวยั่วยวน ลูกน้องที่เด็กที่สุดมักทำหน้าตลกทุกรอบเมื่อโดนพี่ๆในบริษัทเรียกชื่อว่าเอริ คงเป็นเพราะรูปร่างสูงโปร่งสักร้อยเจ็บสิบสี่ ดวงตากลมโตสีครามเหมือนลูกแก้วสวยยิ่งกว่าผู้หญิงเลยทำให้มีแต่คนเอ็นดู
“ใครจะไปรู้ ถ้าไม่ใช่ฆาตกรจัดฉากให้เหมือนแวมไพร์ก็อาจจะเป็นแวมไพร์จริงๆก็ได้..” ข่าวแบบนี้ถ้าค้นข้อมูลดูมันก็เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแต่ยังไม่มีใครสามารถหาตัวคนร้ายได้ จนหลายคนเชื่อว่าเป็นฝีมือของแวมไพร์
คำตอบมีแค่สองอย่าง..
ฆาตกรรมเลียนแบบ หรือ แวมไพร์ของจริง
เอกยืนพิจารณาตัวเลขกลมๆในเนื้อหาสัญญา เมื่อลองคิดถึงรายได้หลังจากจบงาน เงินจำนวนสิบล้านยังไงก็ปลดหนี้หมดแถมยังเหลือให้แม่ได้สบาย
และอีกเรื่อง..
ติ๊ง
‘[กรุณายืนยันเพื่อรับภารกิจ]’
เอกมีระบบเป็นหน้าจอโฮโลแกรมสีฟ้าที่ไม่มีใครเห็น มันลอยเด้งขึ้นมากลางอากาศพร้อมเสียงแจ้งเตือน
ระบบเก็บแต้มสืบสวน..
เขาได้รับมันมาตอนเกิดอุบัติเหตุหลังจากเข้าทำงานในบริษัทนี้เมื่อปีก่อน
‘[งานนี้จะทำให้คุณเก็บแต้มครบและได้รับฉายาคนต่อไป]’
เอกขมวดคิ้ว
ฉายาคนต่อไป?
หมายความว่ายังมีคนที่ได้รับภารกิจเหมือนเขางั้นเหรอ..
ตากลมกระพริบปริบก่อนจะทิ้งความสงสัยแล้วมาโฟกัสที่เงินตรงหน้าเป็นอย่างแรก
“ขาดคนอยู่ใช่มั้ยครับ ผมขอรับงานนี้” หัวหน้าเลิกเรียวคิ้วขึ้น เขายังไม่ได้ตกปากรับงานผู้ว่าจ้าง เพราะตัวเองก็ชั่งใจมาได้สักพัก ด้วยความที่กลัวว่างานจะอันตรายเข้าจริงๆ
แวมไพร์เป็นแค่ตำนานปรัมปราหรือนิทานหลอกเด็กที่ไหน หรือต่อให้มันเป็นฆาตกร ถ้ายังหาตัวไม่เจอมันก็พร้อมล่าเหยื่อได้ทุกเมื่อ
“แต่งานดูอันตรายอยู่นะ”
“ผมร้อนเงิน เวลานี้จะงานไหนขอแค่เงินดีผมรับหมด” เอกยังยืนยันคำเดิม งานนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ชีวิตครอบครัวเขาปลดล็อค ในเมื่อเขามีระบบสืบสวนเป็นเพื่อนก็คงไม่มีเรื่องต้องกลัว
และไม่แน่ว่าหลังจากสิ้นสุดงานนี้เอกอาจจะได้รับคำตอบการปรากฎตัวของระบบด้วยก็ได้ เอกมั่นใจรับงานเต็มร้อย มองใบหน้าหัวหน้าอลันด้วยแววตาหนักแน่น
“ยืนยันรับงานนี้ครับ”
‘[ทำการยืนยันภารกิจเสร็จสิ้น]’
ปาหนันเป็น'เพศรอง' หรือชายท้องได้ผู้มีใบหน้างดงามแต่เขากลับตกหลุมรักเพศรองด้วยกันที่เป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่เล็กนามว่า 'มันต์ทิรา' ทว่าการแอบรักข้างเดียวเป็นเรื่องยากที่จะพูดออกไปเมื่อมีคำว่าเพศมากีดขวาง แล้วมันต์ทิรายังมีใจให้บุรุษคนอื่น "สิ่งที่บุรุษทำได้ ข้าก็ทำให้ได้" "ข้า..ขอโทษ" "เจ้าชอบมันเสียขนาดนั้น ถ้าข้าขอให้เจ้าเลือกข้าเจ้าจักยอมเลือกข้าหรือ" "..." "หากยังไม่มั่นใจเจ้าอยากลองกับข้าดูไหมล่ะ เพศรองก็ถือเป็นชายแล้วไยจักทำให้เจ้าท้องไม่ได้" *** Talk เอาเรื่องสั้นแนวพีเรียดโรมานซ์มาเสิร์ฟค่ะ หน้าปกคือพระเอกเรื่องนะคะ พอ.เรื่องนี้มีจริตคนสวยสูงมากไม่ใช่สายกล้ามร่างหนาแต่รับประกันความหลัว ภายในเรื่องพูดถึงความรักของชายท้องได้ด้วยกันแต่ไม่ได้ดราม่ามาก ไม่อิงประวัติศาสตร์ภาษาใช้คำเข้าใจง่าย อ่านแบบจอยๆได้เลยค่ะ #ปาหนันมันต์ทิรา
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้