ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า "ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร" เด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ในวันนั้น คือคนที่ผมต้องสยบจวบจนถึงทุกวันนี้... ........................................................................ ฉันไม่รู้ว่าเริ่มชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพอได้ชอบฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกเลย... วินาทีแรกที่เจอกัน 'เขา' ทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่พอนานวันเข้า เขากลับเป็นคนที่สอนให้ฉันรู้จักคำว่า 'ความรัก' "ถ้าโตขึ้นแล้วมีผู้ชายมาชอบหนู แด๊ดดี้จะทำยังไงคะ?" "ฆ่ามัน" ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ พอโตมาถึงได้รู้ ว่าฉันจะต้องเป็นของแด๊ดคนเดียวตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...
เช้าวันนี้คงจะเหมือนอย่างหลายวันที่ผ่านมา ถ้าหากว่าไม่มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้าบ้านอีกหนึ่งคน…
ผมหลุบตามองเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา ก่อนจะเบนสายตาขึ้นมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเธอ
เด็กคนนั้นหน้าตาน่ารัก ผิวขาวเนียนใสรับกับพวงแก้มสีชมพู องค์ประกอบบนใบหน้าของเธอผสมผสานระหว่างสองเชื้อชาติ ทั้งไทยและอเมริกา ทว่าความน่ารักน่าเอ็นดูนั้นก็ไม่สามารถเป็นตัวการันตีได้เลยว่าเธอจะไม่ถูกทอดทิ้ง
“ทำไมพี่ไม่พาน้องเรย์ไปด้วย” นี่คือสิ่งที่ผมสงสัย ถึงได้ถามรุ่นพี่คนสนิทออกไปแบบนั้น
ราวครึ่งชั่วโมงก่อนหน้าผมเพิ่งจะได้รับสายจาก ‘พี่ลม’ พ่อของ ‘น้องเรย์วี่’ ว่าเขาจะเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศกับภรรยา และจะฝากฝังให้ผมช่วยดูแลลูกระหว่างที่เขายังไม่กลับมา
ทั้งที่น้องก็อายุได้ห้าขวบแล้ว วัยนี้สามารถขึ้นเครื่องและเดินทางไปต่างประเทศไกลแค่ไหนก็ได้ แต่ทำไมเขาถึงไม่พาลูกตัวเองไปด้วย?
อันที่จริงผมก็ไม่ได้มีปัญหาหรอกนะที่จะต้องดูแลหลานนอกไส้ของตัวเอง มันขึ้นอยู่กับเด็กต่างหากล่ะว่าจะสามารถอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ได้นานแค่ไหน
จากที่เคยเห็น แค่วันเดียวก็ร้องเรียกหากันแล้ว
“กูมีเหตุผล แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้” เมื่อได้ยินดังนั้นคิ้วของผมก็เริ่มขมวดเข้าหากัน “เอาเป็นว่าถ้ากลับมาเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง”
“นานแค่ไหน”
“แค่สัปดาห์เดียว” คำตอบที่ได้รับทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
อย่างน้อยระยะเวลามันก็ไม่ได้นานมากมายอะไร ระหว่างนี้ถ้าน้องเรย์ร้องหาพ่อกับแม่ของเธอ ผมคิดว่าตัวเองน่าจะรับมือได้อยู่
“รีบกลับมาแล้วกัน ผมเองก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กด้วย” ยิ่งเด็กผู้หญิงนี่ยิ่งแล้วใหญ่ จะให้ลูกน้องมาช่วยก็ไม่ได้ แต่ละคนหน้าตาอย่างกับโจรป่า หนำซ้ำตัวยังบึกบึนเหมือนยักษ์
ถ้าพวกมันเข้าใกล้น้องเรย์เมื่อไหร่มีหวังได้ร้องแหกปากหนักกว่าเดิมแน่
“อืม งั้นกูไปก่อนแล้วกัน” ผมกับพี่ลมล่ำลากันอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปส่งเขายังหน้าประตูบ้าน
“เดินทางปลอดภัย” พูดลาครั้งสุดท้าย ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้านเพื่อตรงไปขึ้นรถตู้คันสีดำ ที่ลูกน้องเปิดประตูรอไว้
“ถ้ากูไม่มารับน้องเรย์ด้วยตัวเอง มึงห้ามให้น้องเรย์ไปกับใครเด็ดขาด” ทั้งน้ำเสียงและแววตานั้นฉายชัดถึงความจริงจัง “ต้องเป็นกูเท่านั้น เข้าใจมั้ย”
“อืม” ผมตอบรับเพียงสั้นๆ แม้ว่าจะสังหรณ์ใจบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าถามอะไร เพราะยังไงคำตอบที่ได้รับก็ย่อมมีแต่การบ่ายเบี่ยง
พี่ลมหันไปทิ้งท้ายสายตาด้วยการมองเข้าไปในบ้าน เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าเขาจะตัดสินใจหมุนตัวหันหลังแล้วเดินไปขึ้นรถ
ผมยืนส่งเขาอยู่ตรงนั้น กระทั่งรถตู้สีดำคันหรูเคลื่อนห่างออกไปยังประตูรั้วบ้าน และลับสายตาในที่สุด
“จะให้คุณหนูเรย์วี่นอนอยู่ตรงนั้นเหรอครับ” ‘เมฆ’ ลูกน้องมือขวาคนสนิทของผมโพล่งถามขึ้นมา พลางปรายตาพยักพเยิดไปยังเด็กหญิงตัวเล็กที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
“เดี๋ยวกูอุ้มขึ้นไปนอนบนห้องเอง” สิ้นประโยคนั้นขายาวภายใต้กางเกงยีนสีดำที่ขาดแบบแฟชั่นก็เดินย่างก้าวตรงเข้าไปหา เพื่อช้อนตัวน้องเรย์ขึ้นอุ้มไว้ในวงแขน “วันนี้กูมีนัดอะไรหรือเปล่า”
“มีครับ แต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร”
“งั้นยกเลิกให้หมด” เพราะคิดดีแล้วถึงได้พูดออกไปแบบนั้น “ทั้งสัปดาห์นี้กูจะอยู่ดูแลน้องเรย์ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก็เลื่อนไปวันอื่น”
“ครับนาย” ลูกน้องคนสนิทก้มหัวรับคำสั่ง ขยับถอยห่างเพียงเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้ผมก้าวเดินขึ้นไปยังขั้นบันได
จังหวะการขยับเท้านั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้มีแรงเคลื่อนไหวมากนัก เพราะเกรงว่าจะทำให้ร่างเล็กที่นอนซบอยู่ในอ้อมแขนสะดุ้งตื่น
ปลายรองเท้าหยุดลงหน้าบานประตูห้องหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้านในริมสุด ผมค่อนข้างหวงพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ดังนั้นเหตุผลที่เลือกให้ห้องนอนอยู่ตรงนี้ก็เพราะไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย หรือเดินเพ่นพ่าน
แต่สัปดาห์นี้ผมคงต้องปล่อยให้เด็กน้อยตัวเล็กรุกล้ำความเป็นส่วนตัวแล้วล่ะ
“อื้อ” ใบหน้าเล็กถูไถกับท่อนแขนของผม คิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากันอย่างรู้สึกไม่สบายตัว เนื่องจากพื้นที่ขยับตัวมีขีดจำกัด
“ใจเย็นๆ สิตัวเล็ก” ผมพูดกับคนในอ้อมแขนด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา ก่อนจะรีบย่างก้าวตรงไปที่เตียงนอนขนาดคิงไซส์ แล้ววางร่างเล็กนั้นลงบนเตียงแผ่วเบา ไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปเปิดแอร์ และคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนถึงปลายคาง
เมื่อได้ที่นอนแสนนุ่มนิ่ม น้องเรย์ก็หลับต่อ หนำซ้ำมุมปากเล็กๆ นั้นยังคลี่ยิ้มน่ารัก จนพานทำให้คนมองอย่างผมเผลอยิ้มตามไปด้วย
“โตมาหนุ่มๆ คงเดินตามเป็นพรวนแน่ๆ” ผมค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงริมขอบเตียง นิ้วชี้เรียวยาวเอื้อมไปเกลี่ยพวงแก้มสีชมพูธรรมชาติแผ่วเบาอย่างนึกเอ็นดู
แพขนตายาวที่กำลังหลับพริ้มทำให้ผมคิดว่า ถ้าผู้หญิงคนไหนได้มาเห็นคงต้องอิจฉาน้องเรย์เป็นแน่
ขนาดตอนนี้ยังเด็กอยู่เค้าโครงหน้ายังฉายชัดถึงความงดงาม โตมายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
ถ้าเป็นลูกสาวผม คงได้สั่งให้ลูกน้องตามประกบไม่ห่างแน่นอน ผู้ชายคนไหนคิดจะเข้าใกล้คงได้กินลูกปืนแทนอย่างอื่น
ผมมองจ้องไปที่แก้มของน้องเรย์สักพักใหญ่ ครั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่จะโน้มหน้าเข้าไปหาสิ่งที่ล่อตาล่อใจ
ทว่าจังหวะที่ปลายจมูกโด่งสันกำลังแตะสัมผัสกับพวงแก้มเด็กน้อย ก็จำต้องผละถอยห่างอย่างรวดเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่โกนหนวดเครา ถ้าหอมแก้มเดี๋ยวจะพานทำให้น้องเรย์เกิดการระคายเคืองได้
ผมตัดสินใจผุดลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังโซนห้องทำงานที่เชื่อมติดกับห้องนอน ระหว่างที่น้องเรย์นอนหลับ ผมคงต้องหาอะไรทำเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเด็กน้อย
“ฮึก...พ่อจ๋า” เท้ายังไม่ทันขยับไปถึงโต๊ะทำงาน จังหวะการก้าวเดินของผมก็ถูกขัดด้วยเสียงร้องสะอื้นของเด็กน้อย
“น้องเรย์” ผมจำต้องเดินกลับไปหา พร้อมยื่นมือไปเขย่าร่างเล็กเพื่อปลุกให้น้องเรย์หลุดพ้นจากฝันร้ายที่กำลังเผชิญ
เปลือกตาที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาค่อยๆ ลืมขึ้นมอง ก่อนจะปล่อยโฮเสียงดังลั่นเมื่อพบกับคนที่ไม่คุ้นเคย
อันที่จริงผมกับน้องเรย์เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่นั่นมันเป็นช่วงที่ผมยังไม่ปล่อยปละละเลยให้หนวดเคราเฟิ้มขึ้นตามกรอบหน้าเหมือนอย่างตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนตัวเล็กถึงจำผมไม่ได้
“ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร”
ร่างเล็กรีบดึงผ้าห่มคลุมโปง เพื่อปิดซ่อนตัวเองจากสิ่งที่เธอกำลังหวาดกลัว ซึ่งนั่นก็คือ...ตัวผมเอง
ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า
เห็นทีผมคงปล่อยให้หลานสาวคิดว่าตัวเองเป็นโจรแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ
มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพื่อติดต่อหาลูกน้องที่คาดว่าคงจะอยู่ด้านล่าง
“พาแม่นมพิณขึ้นมาหน่อย” เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงครั้งเดียวปลายสายก็กดรับ ผมจึงไม่รอช้าที่จะรัวคำสั่ง “ด่วนๆ”
(“ครับนาย”) เมื่อเมฆรับคำผมจึงกดวางสาย ทว่ายังไงก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้น้องเรย์ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ดี
“น้องเรย์ อาเจย์เสียใจนะที่หนูจำไม่ได้แบบนี้” หากจำหน้าไม่ได้ อย่างน้อยน้องเรย์ก็น่าจะคุ้นเสียง
และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เพราะหลังจากที่ผมเอ่ยประโยคนั้น มือเล็กก็ค่อยๆ ลดระดับผ้าห่มลงเผยให้เห็นเพียงแค่ครึ่งหน้า ดวงตากลมโตที่เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำตามองจ้องผมเขม็ง ก่อนจะส่ายศีรษะเป็นพัลวันจนผมยาวสลวยสีน้ำตาลสะบัดไปมา
“ไม่ใช่! อาเจย์หล่อ ไม่ได้หน้าเหมือนโจรแบบนี้” เด็กหญิงตัวเล็กปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ลุงอย่ามาโกหกหนูนะ...ฮึก...พาหนูไปหาพ่อเดี๋ยวนี้เลย”
น้องเรย์โวยวายทั้งน้ำตา เธอเป็นเด็กฉลาด แต่ผมแค่ไม่คาดคิดว่าคำพูดคำจาของเด็กน้อยจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บ
ลุงเลยเหรอ...แก่ไปหรือเปล่า
ก็อก...ก็อก…
ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาคำพูดเพื่อเจรจากับน้องเรย์อยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“เข้ามา”
“คุณเจย์เรียกป้าเหรอคะ” ‘ป้าพิณ’ เปิดประตูก้าวเข้ามาภายในห้อง ท่านคือแม่นมที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กหลังจากที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ถ้าหากไม่มีท่านกับครอบครัวของพี่ลมก็คงจะไม่มีผมในวันนี้เหมือนกัน
พ่อกับแม่เสียชีวิตตั้งแต่ตอนที่ผมอายุได้เจ็ดขวบ ถึงจะมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ลูกชายเพียงคนเดียวอย่างผมก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้อยู่ดีเพราะยังเด็ก ญาติที่มีก็จ้องแต่จะฮุบสมบัติที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ ถ้าไม่ได้ ‘ลุงทินกร’ คุณพ่อของพี่ลมที่เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อยื่นมือเข้ามาช่วย ผมก็คงถูกญาติผลาญสมบัติไปจนหมดสิ้น
ส่วนป้าพิณก็เป็นแม่นมที่ลุงทินกรจ้างมาให้เลี้ยงดูผมแทน เพราะท่านไม่ค่อยมีเวลา แถมภรรยาก็เสียชีวิตไปตั้งแต่คลอดพี่ลมแล้ว ดังนั้นทั้งผมและพี่ลมก็ต่างโตมากับแม่นมทั้งคู่แค่คนละคนกัน
“ผมฝากดูแลน้องเรย์แป๊บนึงนะครับ” ถ้าให้แม่นมพิณดูแลคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะน้องเรย์คุ้นชินกับท่านมาบ้างแล้ว
“คุณเจย์จะออกไปข้างนอกเหรอคะ”
“เปล่าครับ จะไปโกนหนวด” ผมยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าของตัวเอง “น้องเรย์กลัว”
ป้าพิณถึงกับหลุดยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบ จากที่ใช้มือตัวเองสัมผัสหนวดมันก็ขึ้นเยอะจริงๆ นั่นแหละ น้องเรย์จะคิดว่าเป็นโจรก็คงไม่แปลก
“ป้าจะดูให้เองค่ะ”
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะย่างก้าวตรงไปทางห้องน้ำเพื่อจัดการหนวดเคราบนใบหน้าของตัวเอง ระหว่างที่ปาดครีมโกนหนวดตามแนวกรอบหน้า หูก็คอยฟังเสียงน้องเรย์ไปด้วย
เสียงร้องไห้ในตอนแรกค่อยๆ เบาลงก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด แต่กลับได้ยินประโยคที่ว่า ‘พ่อหนูอยู่ไหน’ มาแทน
ผมรีบจัดการโกนหนวดอย่างเร็วที่สุด เมื่อเสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกอย่างก็เดินกลับไปหาน้องเรย์ที่เตียงอีกครั้ง
ทว่ากลับเห็นร่างเล็กพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อเอื้อมมือขึ้นไปจับลูกบิดประตู โดยมีป้าพิณคอยจับแขนอีกข้างเพื่อยื้อน้องเรย์ไม่ให้ออกไปข้างนอกห้อง
“ปล่อยหนู หนูจะไปหาพ่อ” ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มเริ่มเบะ และพร้อมที่จะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
“น้องเรย์ เดินมาหาอาเจย์หน่อยครับ” ผมยังคงยืนอยู่ข้างเตียงตรงที่เดิม เพื่อให้น้องเรย์เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา “จำอาได้หรือยัง”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองสบตากับผม แล้วตอบคำถามนั้นด้วยการพยักหน้ารับหงึกหงัก
“อาเจย์เห็นคุณพ่อหรือเปล่าคะ” เด็กน้อยผละถอยห่างจากบานประตู และเดินมาหาผมที่ยืนรออยู่
“คุณพ่อของน้องเรย์ไปทำงาน ระหว่างนี้ก็อยู่กับอาก่อนนะ” ผมย่อตัวลงเพื่อช้อนร่างเล็กขึ้นมาอุ้ม จากนั้นจึงทรุดนั่งลงที่ขอบเตียงโดยมีเด็กน้อยนั่งทับอยู่บนตักแกร่ง “แค่สัปดาห์เดียวเอง เดี๋ยวคุณพ่อก็จะมารับกลับแล้ว”
“แต่หนูฝันว่าคุณพ่อจะไม่กลับมาหาอีกแล้ว คุณพ่อกำลังจะทิ้งหนูไป” ดวงตากลมโตใสซื่อที่รื้นไปด้วยหยดน้ำตาเงยขึ้นมอง นี่สินะที่ทำให้น้องเรย์ละเมอแล้วร้องไห้ออกมา
“ก็แค่ความฝัน ไม่มีใครกล้าทิ้งน้องเรย์ได้ลงหรอก” นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปเกลี่ยหยดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนพวงแก้มออกให้คนตัวเล็ก
ทว่าน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ยังคงไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลเรื่อยๆ อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้น้องเรย์ฝันร้ายแบบนั้น แล้วดันประจวบเหมาะกับการที่พี่ลมต้องไปต่างประเทศพอดี ผมเองก็ไม่อยากจะคิดมากอะไร หากว่าเมื่อครั้งที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุ...ผมไม่ฝันแบบนั้นเหมือนกัน
“...”
“ป้าพิณลงไปทำอะไรให้น้องเรย์ทานหน่อยสิครับ เดี๋ยวตามลงไป” พอเห็นว่าเด็กน้อยนั่งเงียบ ผมจึงหันไปพูดกับป้าพิณที่ยังยืนอยู่
“ค่ะคุณเจย์”
คล้อยหลังคนสูงวัย ผมก็หลุบตามองน้องเรย์อีกครั้ง
“ไม่ต้องร้อง เป็นหลานอาเจย์ต้องเข้มแข็งนะรู้มั้ย” ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พลางจับใบหน้าเล็กให้ซุกซบลงมาที่อกแกร่ง “เดี๋ยวพ่อลมก็กลับมา”
ทว่าประโยคที่ผมบอกน้องเรย์ออกไปกลับกลายเป็นคำโกหกโดยที่ผมเองก็อาจไม่รู้ตัว และไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น
การรอคอยของน้องเรย์เริ่มต้นจากหนึ่งสัปดาห์ แล้วล่วงเลยกลายมาเป็นเดือน จนกระทั่งเนิ่นนานเป็นปี และไม่รู้ว่าการรอคอยนี้มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ผมพยายามที่จะติดต่อหาพี่ลมหรือคนใกล้ชิดของเขาทุกวิถีทาง อีกทั้งยังจ้างนักสืบฝีมือดีให้ช่วยตามหา ทว่าก็ไร้วี่แวว ข่าวคราวของพี่ลมเงียบหายไปพร้อมกับตัวเขาและภรรยา
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมต้องกลายมาเป็นคุณพ่อให้น้องเรย์จวบจนถึงปัจจุบัน…
ยามใดที่ได้กลิ่นหอมของเธอ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ทั้งชีวิตที่เกิดมา ไม่เคยมีใครแสดงท่าทีรังเกียจฉันได้มากเท่าเขาอีกแล้ว… “คุณมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าคะคุณแซ้งค์” “ใครจะกล้ามีปัญหากับลูกสาวเจ้าพ่ออย่างคุณเอวาได้ล่ะครับ” “ก็คุณไงคะ” .......................................................................................... ฉันต้องรู้สึกยังไงที่จู่ ๆ ก็มีคนบางคนชอบแสดงท่าทีเหมือนรังเกียจ ทุกครั้งที่พยายามเข้าใกล้ เขาก็จะถอยห่าง มองจากดาวอังคารยังรู้ ว่า ‘คุณแซ้งค์’ กำลังไม่ชอบขี้หน้าฉันอย่างแรง แต่บอกไว้ก่อน เราไม่เคยมีเรื่องกัน แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ไปได้ “บอกเหตุผลมาหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมถึงทำเหมือนไม่ชอบฉันนัก” “ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมแค่ไม่อยากอยู่ใกล้คุณ” “แล้วมันทำไม?” “ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง” หลังจากได้รับคำตอบ ฉันก็ไม่เคยเข้าใจในความหมายนั้น กระทั่งคืนหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ซึ่งนี่แหละคือจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเราไปตลอดกาล...
ยามใดที่ร่างกายสัมผัสถูกเกสรดอกไม้ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... เพราะความเมามายเป็นเหตุ จึงทำให้ฉันต้องอยู่บนเตียงกับเขาตลอดทั้งค่ำคืนนั้น คิดว่าจะจบ ทว่าเราสองคนกลับหวนมาเจอกันอีกครั้งในวันหนึ่ง “คุณท้องกับผมเหรอ?” “คุณคิดว่าเครื่องตัวเองฟิตสตาร์ทติดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” .......................................................................................... ชีวิตของฉันซวยมากเลยค่ะคุณกิตติคะ ด้วยความที่เพื่อนงอนกับแฟนก็เลยอยู่ช่วยปลอบใจ พร้อมคอยปรามไม่ให้เพื่อนดื่มแอลกอฮอล์จนเมามายไร้สติ แต่จู่ๆ ก็มีนังตัวดีที่ไหนไม่รู้ส่งคลิปคนรักของฉันซึ่งกำลังนัวเนียกับผู้หญิงคนอื่นมาให้ดู ไป ๆ มา ๆ จึงกลับกลายเป็นว่าเพื่อนต้องปลอบใจฉันแทน อาการเจ็บช้ำหัวใจที่จู่โจมเข้ามากะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ส่งผลให้ฉันกระดกเหล้าเข้าปากรัว ๆ แบบไม่หยุดยั้ง ยังค่ะ...เรื่องยังไม่จบที่ตรงนั้น แฟนเพื่อนตามมารับเพื่อนกลับบ้าน แต่ก็ยังมีน้ำใจพาฉันขึ้นไปห้องพัก ทว่า...ห้องนั้นดันไม่ใช่ห้องของฉันนี่สิ "คุณเป็นใคร เข้ามาในห้องของผมได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้!" ท่าทางของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังเอ่ยปากไล่ฉันดูแปลกตา คล้ายกับกำลังระงับอารมณ์บางอย่าง กระนั้นระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้ฉันไม่อยากสนใจอะไรนอกเสียจากล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง "อะไร? จะแปลงร่างเหรอ? ไปเล่นที่อื่นไปหนู พี่จะนอน" ความเมาเป็นเหตุสังเกตได้ ตื่นขึ้นมานั่นแหละถึงได้รู้ ว่าตนเองถูก 'คนแปลกหน้า' พรากความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว...
ยามใดที่ดวงอาทิตย์ตกดิน นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ค่ำคืนนั้นเขาช่างเร่าร้อน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราล้วนไม่ใช่เพราะความรัก... "ขึ้นชื่อว่าคนดูแลชั่วคราว เธอก็จะได้อยู่แค่ในสถานะนั้น อย่าใฝ่สูง" .......................................................................................... ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแล 'ผู้ชายคนหนึ่ง' ทว่าของแถมที่พ่วงติดมาด้วยนั้นคือเรื่องราวน่า 'ประหลาด' ซึ่งเป็นเหตุทำให้ชีวิตของฉันต้องพลิกผันไปตลอดกาล "คุณซานเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" การเห็นเจ้านายแสดงท่าทีราวกับทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้า จึงไม่นิ่งนอนใจที่จะเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมขยับก้าวเข้าไปเพื่อช่วยพยุง "ออกไป!" ทว่าร่างสูงตรงหน้ากลับตะคอกใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หนำซ้ำยังสะบัดตัวฉันออกจนเซถลาเกือบล้มลงกระแทกพื้น "ออกไปจากห้องฉัน...เดี๋ยวนี้!!" หากย้อนเวลากลับไปได้ คืนนั้นฉันจะเชื่อฟัง และยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี...
"มาโรงพยาบาลวันนี้ป่วยเป็นอะไรอีกล่ะคะ" "พอดีกินข้าวไม่ค่อยได้น่ะครับ" "หืม? มีอาการอาเจียนด้วยหรือเปล่าคะ หรือว่ายังไง" "เปล่าครับ แค่ไม่มีตังค์" "..." "ถ้าคุณพยาบาลไม่รังเกียจ ผมขอฝากท้องไว้สักมื้อนะครับ" "คุณท้องเหรอคะ?" ........................................................................ "ถ้านายทำร้ายฉัน ฉันจะโทรไปฟ้องพี่" ฉันรู้ว่าคำขู่ของตัวเองมันอาจจะไม่ได้ผล เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าปูนซีเมนต์ หมายถึงทนมือทนตีนน่ะนะ "ฟ้องมากๆ ระวังโดนตบด้วยปากและกระชากด้วยลิ้นนะ" นอกจากจะเป็นผู้ชายที่กวนตีนแล้ว ความหื่นของเขาก็มีมากเช่นกัน หมดเรี่ยวแรงไปเท่าไหร่แล้วกับผู้ชายพันธ์นี้...โปรดอยู่ให้ห่างแล้วชีวิตจะปลอดภัย
เคยได้ยินคำว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้หรือเปล่า? และฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาหากินในที่ของฉัน แต่ 'มัน' เสือกทำ "ไม่ใช่เด็กถิ่นเช็คอินได้เปล่า" ด้วยความที่โชคชะตามันโหดร้าย จึงทำให้เราสองคน 'ได้' กัน ........................................................................ สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือความเจ้าชู้ แต่แล้ววันหนึ่งฉันกลับกลายทำตัวเป็นแบบนั้นซะเอง เหตุการณ์ที่พบเจอมันบีบบังคับให้ฉันต้องร้าย ต้องแรง และ...อยู่ให้เป็น "นี่ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นของเด็ก กลับบ้านไปดูดนมนอนไป๊!" วาจาที่พ่นออกมาจากริมฝีปากหนาเป็นอะไรที่ฉันรังเกียจพอๆ กับการเห็นหน้า 'คนพูด' "ก่อนไป ขอเตะปากทีดิ" เท้าของฉันมันกำลังกระตุก เมื่อหูได้ยินอะไรที่ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ เขาว่ากันว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เห็นทีว่ามันจะจริง...
"ถ้านายยังทำนิสัยแบบนี้ สักวันนายจะไม่เหลือใคร" ร่างเล็กพูดบอกผมออกมาด้วยแววตานิ่งๆ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและเพรียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ถ้าเปรียบเธอเป็นที่สูง ผมก็คงเป็นที่ต่ำ ผมอยากจะไขว่คว้าเธอ แต่มันก็เกินเอื้อม เพราะคนเลวๆ อย่างผมมันไม่มีค่าที่จะคู่ควรกับเธอ "ถ้าฉันเป็นคนดีแล้วเธอจะรักฉันได้มั้ย" ผมลองย้อนถามกลับไป เธอยังคงยืนนิ่งก่อนที่จะเดินออกไปโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรผมทั้งนั้น ไม่ว่าผมจะเป็นยังไงสุดท้ายเธอก็ไปอยู่ดี ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ประโยคนี้มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผม ไม่ว่าจะทำตัวดีแค่ไหน สุดท้ายก็เหี้ยในสายตาของเธออยู่ดี...
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!