/0/14939/coverbig.jpg?v=bf80b9f17b7bee749025f63a3c24828f)
เมื่อพลังปราณทั้งสี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข
เมื่อพลังปราณทั้งสี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข
พิเศษสุดๆ
หนึ่งบุรุษผู้ครอบครองพลังปราณแห่งปฐพี ควบคุมพื้นดินทั้งใต้หล้าเอาไว้ในฝ่ามือ แต่ไม่ว่าจะมีพลังมากเท่าใดกลับยิ่งกลายเป็นดาบสองคมมากเท่านั้น เขาต้องหลบซ่อนตัวตนจากคนของพรรคมาร มีชีวิตรอดด้วยนามของผู้อื่นอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตั้งแต่จำความได้ แต่แล้ววันหนึ่งหัวใจของเขานั้นกลับกลับสยบลงแทบเท้าสตรีอ่อนแอนางหนึ่งเท่านั้น เขาและนางฐานะแตกต่างกัน แต่เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างนาง
สตรีนางหนึ่งนางเติบโตมาด้วยไฟแค้น จิตใจของนางหล่อหลอมและเติมเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ภายใจของนางนั้นเต็มไปด้วยโทสะที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ นางคือผู้ครอบครองพลังปราณแห่งไฟกัลป์ แต่ไม่ว่าเปลวไฟนั้นจะร้อนเพียงใดหัวใจดวงน้อยๆ ของนางกลับถูกความเย็นฉ่ำจากสายน้ำของบุรุษผู้หนึ่งชโลมล่อเลี้ยงจิตใจ
บุรุษอีกคน ผู้ที่ครอบครองพลังปราณวายุและปราณวารี บุรุษผู้เดียวในรอบหลายพันปีที่สามารถใช้พลังปราณได้ถึงสองสาย ผู้ที่คนทั้งใต้หล้าหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่ว่าเขาย่างกายไปที่ใด แคว้นนั้นมักจะมีสงครามเสมอ เขาก่อสงครามไปทั่วทุกย่อมหญ้า เพื่อรวบรวมหมายจะครอบครองทุกดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียว เขามีปณิธานแรงกล้าที่จะรวมพลังปราณทั้งสี่เอาไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว พลังและอำนาจคือทุกสิ่ง แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับถูกดรุณีน้อยคนหนึ่งทลายมันลง หากไม่มีนางอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ พลังเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย จะมีอำนาจไปเพื่อสิ่งใดหากไร้ดวงใจอยู่เคียงข้าง
เมื่อราวๆ เกือบหนึ่งร้อยปีก่อน มีนักพรตทำนายเอาไว้ว่า
‘เมื่อพลังปราณทั้งสี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข’
สงบสุขกับผีนะสิ
อู่เหมยตาฮวย เม้นปากแน่น เมื่อคิดถึงเรื่องราวความเป็นมาของพลังปราณที่สามีของตนเล่าให้ฟัง จะไม่เชื่อเรื่องพลังวิเศษก็ไม่ได้ เพราะตัวนางเองนั้นวิญญาณก็มาเดินทางทะลุมิติมาจากอนาคต แถมนางก็ยังได้ยินและสื่อสารกับเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายได้
“จินเยว่ ทำแบบนั้นไม่ได้นะจ๊ะ”
เหมยตาฮวยตะโกนบอกบุตรชายคนโตของโอวหยางเจิ้งหัว ละสายตาพักเดียวเท่านั้น จากกิงดินกองเล็กๆ เขาก็ก่อดินกลายเป็นปราสาททรายจนสูงท่วมหัว หากไม่ห้ามปรามมีหวังว่าปราสาทหลังนี้กลายเป็นภูเขาดินขนาดย่อมๆ
และหว่างที่หันไปดูโอวหยางจินเยว่ หางตาเหมือนเห็นอะไรแวบๆ ผ่านไป
“อ้ายฉิง อ้ายเฉิง ลงมาเดี๋ยวนี้ ก่อนที่น้าจะให้นกยักษ์จับพวกเจ้าลงมา”
เหมยตาฮวยหันไปตะโกนใส่ฝาแฝดชายหญิง บุตรและธิดาของรัชทายาทแคว้นจ้าว จ้าวหยุ่นหลง
สองแฝดหันมายิ้มเผล่ แต่ก็ยอมลอยลงมาจากยอดกิ่งไม้แต่โดยดี ไม่อยากถูกนกยักษ์ของท่านน้าอู่เหมยตาฮวยคาบเพราะมันเสียหน้า วันนี้เพื่อนๆ มาเล่นกันในวัง จะให้พวกเขาเนื้อตัวเปื้อนน้ำลายนกได้อย่างไรเล่า
เมื่อสองแฝดขาแตะพื้น เหมยตาฮวยลอบถอนหายใจ ไหนบอกว่าถึงบุตรธิดาคนแรกของตระกูลจะได้รับการถ่ายทอดพลังปราณ แต่กว่าปราณจะตื่นและสามารถใช้พลังได้ก็ต่อเมื่ออายุครบสิบแปด แล้วทำไมทายาทอสูรพวกนี้ถึงใช้พลังได้ตั้งแต่กำเนิด นางปรายตามองบุตรสาวของตนที่นั่งเล่นเงียบๆ อยู่ไม่ไกล คงมีแค่ต้าเหนิง บุตรสาวของนางกับองครักษ์ชางเจี้ย ที่เรียบร้อยที่สุด
“ต้าเหนิง ทำอะไรอยู่จ๊ะ”
เหมยตาฮวยเดินไปทรุดกายลงข้างๆ บุตรสาว นางเห็นตาเหนิงนั่งเล่นคนเดียวเงียบๆ มาสักพักใหญ่แล้ว
“ลูกกำลังบอกให้พวกมดแดง ต่อตัวเป็นปราสาทแข่งกับจินเยว่เจ้าค่ะ” ชางต้าเหนิงหันมาทางมารดา เอ่ยบอกเสียงเจื้อยแจ้ว ภูมิอกภูมิใจกับปราสาทมดของตน
“อ่า จ๊ะ ระวังอย่าบาดเจ็บกันล่ะ” พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ทำได้แค่เพียงหันไปบอกเหล่ามดน้อยให้ระวังตัว นางลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กๆ พวกนี้เติบโตมาด้วยกัน ย่อมมีนิสัยใจคอบางอย่างคล้ายคลึงกัน
อู่เหมยตาฮวยเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง วันนี้นางรับอาสามาดูแลเด็กๆ เพราะ เหล่าพ่อแม่ของเด็กพวกนี้กำลังประชุมหารือเรื่องในยุทธภพ องค์หญิงเลี่ยงหลิงก็กำลังแพ้ท้องหนักลุกจากเตียงไม่ไหว ทำให้ในตอนนี้ มีนางคนเดียวที่เด็กๆ ทั้งสี่พอจะเชื่อฟัง หากให้อยู่ตามลำพังกับพวกบ่าวรับใช้ คำเดียวสั้นๆ พินาศ
ก่อนจะไปถามหาความสงบสุขให้ใต้หล้า เอาใต้ต้นไม้ต้นนี้ให้รอดก่อน
“จิบน้ำชาให้ชื่นใจหน่อยไหมเจ้าค่ะฮูหยิน” จางลี่ถือถาดน้ำชาและขนมมาวางบนโต๊ะ
เหมยตาฮวยพยักหน้ารับ ได้น้ำเย็นๆ สักจอกก็คงจะดี นางรับน้ำชามาถือไว้ แม้พระชายาของจ้าวหยุ่นหลงจะอารมณ์ร้อน ชอบทำอะไรมุทะลุ เป็นเพราะนางนั้นยังเด็ก แต่จางลี่ที่เป็นสาวใช้คนสนิทกลับเยือกเย็นสุขุม ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้จะเข้ากันได้ ผิดจากสาวใช้คนเก่าของตน ชิงชิงใช่ว่าจะไม่ดี แต่นางชอบเอาความลับของเจ้านายไปขาย เหมยตาฮวยจึงไม่คิดจะเอาใครมาอยู่ใกล้ตัวขนาดนั้นอีกแล้ว
“ฮูหยินท่านอย่าดุพวกคุณหนูๆ นักเลย ปล่อยให้เล่นกันไปตามประสาเถิด” เวลาที่จางลี่ อยู่กับสองแฝดตามลำพัง นางก็ปล่อยให้เด็กสองคนนั้นทำตามใจตน นางเพียงคอยดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“ข้าก็อยากทำแบบนั้น แต่บางทีมันก็อดใจไม่ไหว ก็ต้องมีร้องเตือนกันบ้าง ก่อนที่จะพลั้งพลาดเกิดอันตรายขึ้น ถึงข้าจะฟังพวกสัตว์ได้ แต่ข้าก็ใช่ว่าจะมีพลังปราณหรือวรยุทธที่จะสามารถหยุดพวกเด็กๆ ได้”
นางเข้าใจในสิ่งที่จางลี่จะสื่อ เด็กทั้งสี่อายุก็สามสี่ขวบกันแล้ว ควรได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวเพื่อพัฒนาการให้สมวัยสองแฝดอ้ายเฉิงกับอ้ายฉิงมีพลังปราณลมทั้งคู่ ลอยไปนั่งบนยอดไม้ก็ด้วยพลังของตน ใช่ว่าจะตกลงมาง่ายๆ คงเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไปนั่งอยู่บนพื้น แต่จะให้นางยืนดูเฉยๆ ก็ไม่ไหวไง ลงมาเล่นข้างล่างแบบลูกคนปกติเถอะ หัวจะปวด
“อ้ายเฉิง น้าบอกว่าห้ามเล่นไฟ น้าจะฟ้องเสด็จพ่อของเจ้า” นั้นไงพูดยังไม่ทันขาดคำ เอาอีกแล้วไอ้ตัวแสบคนพี่
เมื่อเห็นแฝดผู้พี่ถูกดุเรื่องใช้พลังอีกแล้ว อ้ายฉงแฝดผู้น้องก็ใช้ปราณวารีรีบดับเปลวไฟ หากท่านน้าเหมยตาฮวยฟ้องเสด็จพ่อจริงๆ แย่แน่ๆ เพราะเสด็จพ่อท่านอนุญาตให้ใช้แค่พลังปราณวายุ ห้ามใช้พลังปราณสายอื่นหากว่าท่านไม่อยู่ด้วย เพราะอาจเกิดอันตรายกับผู้อื่นได้
“เจ้าตะโกนแบบนั้น นกในวังข้าบินหนีหมดแล้ว” จ้าวหยุ่นหลงส่งเสียงมาแต่ไกล ข้างตัวของเขามักจะมีพระชายากวนเสี่ยวถงอยู่เสมอ
“จินเย่ว ปะกลับกันเสด็จแม่รออยู่” โอวหยางเจิ้งหัวย่อตัวอ้าแขนรับบุตรชายที่วิ่งตื้อเข้ามาทันทีที่เห็นเขาเดินมา กดริมฝีปากหนาลงบนแก้มนุ่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินเบาๆ “ดื้อกับท่านน้าเหมยตาฮวยหรือไม่”
จินเยว่สายหน้าวือ
“แต่เจ้าสองแฝดไม่เหมือนยินเยว่แน่ๆ เพราะข้าได้ยินเสียงพี่เหมยตาฮวยดังลั่นเชียว” กวนเสี่ยวถงหรี่ตามองสองแสบ
“อ้ายเฉิง เป็นเด็กดี เชื่อฟังท่านน้าพูดทุกอย่าง”
“อ้ายฉิงด้วยๆ”
สองฝาแฝดรีบแก้ตัวก่อนที่ท่านน้าเหมยตาฮวยจะพูดอะไร แม้ท่านพ่อจะทั้งรักและตามใจพวกเขามาก หากทำอะไรผิดก็แค่ว่ากล่าวตักเตือน แต่หากเสด็จแม่ลงมือแล้วละก็ แม้แต่เสด็จพ่อก็ทำได้เพียงยืนฟังเงียบๆ เท่านั้น สองแฝดหันไปมองท่านน้าเหมยตาฮวยอย่างคาดหวัง ว่าอย่าบอกเสด็จแม่ว่าพวกเขาใช้พลังปราณ
“อย่าดุนักเลยน้องหญิง เจ้าดูสวนดอกไม้ของเจ้าสิ ยังอยู่ครบปกติสุขดี แสดงว่าสองแสบไม่ได้ทำอะไรแผลงๆ ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่” จ้าวหยุ่นหลงรีบแก้ตัวช่วย หวังผ่อนหนักให้เป็นเบา
กวนเสียวถงยืนมองอ้ายเฉิงและอ้ายฉิง ก็เพราะจ้าวหยุ่นหลงตามใจเสียแบบนี้ สองแสบถึงได้เล่นสนุกจนบางที่ก็พลั้งเผลอใช้พลังจนเกินตัว นางจึงต้องคอยปรามเอาไว้แบบนี้ ทำให้นางก็กลายร่างเป็นแม่ใจร้ายได้ตลอด ตอนเด็กๆ นางก็ใช้พลังได้เหมือนกันแต่แม่นมของนางก็ห้ามไม่ให้ใช้จนกว่าจะถึงเวลา แล้วนางก็เชื่อฟังแม่นมมาตลอด ผิดกับลูกๆของนาง ไม่ว่านางจะห้ามแค่ไหนก็ยังแอบทำ เพราะมีคนให้ท้ายไง เดี๋ยวเถอะหากยังตามใจกันอยู่แบบนี้ หากดอกไม้ในสวนข้าหักแม้แต่ดอกเดียว ข้าจะให้ทั้งสามพ่อลูกปลูกให้ข้าใหม่ด้วยมือพวกเขาเอง
เหมยตาฮวยคลี่ยิ้มไม่พูดอะไร หันไปยิ้มกับสามีของตนที่พอมาถึงก็เดินไปนั่งคุยกับต้าเหนิง ทำเสียงเล็กเสียงน้อยทั้งๆที่ตัวเองก็พูดกับมดไม่รู้เรื่องแบบบุตรสาว แต่ก็เออออรับต้าเหนิงไปหมดทุกอย่าง
“งั้นข้าขอตัวกลับก่อน ได้เวลานอนกลางวันแล้วจินเยว่แล้ว อีกอย่างข้าไม่อยากให้เลี่ยงหลิงอยู่คนเดียวนาน ใจก็อยากจะพานางมาด้วย แต่นางแพ้หนักเหลือเกินท้องนี้” โอวหยางเจิ้งหัวหันไปบอกลาทุกคน หากวันนี้ไม่มีประชุมสำคัญ เขาคงไม่ทิ้งนางไว้ที่จวนกับสาวใช้เพียงลำพัง
“ไปเถอะ” จ้าวหยุ่นหลงหันไปล่ำลาสหาย
“ต้าเหนิง เจ้าอยากมีน้องเล่นด้วยหรือไม่ ยัได้ไม่ต้องมานั่งเล่นกับตัวสัตว์ตัวเล็กๆ แบบนี้” องครักษ์ชางเจี้ยก้มลงถามบุตรสาว
“น้อง น้องแบบที่อ้ายเฉิง มีอ้ายฉิงเป็นน้องหรือเจ้าค่ะท่านพ่อ” ดวงหน้าน้อยๆ เอียงคอถาม
เหมยตาฮวยกลอกตาขึ้นฟ้า หลังจากคลอดต้าเหนิง นางบอกสามีว่าขอให้ต้าเหนิงโตจนรู้ความก่อนค่อยมีคนต่อไปและนางเองก็ต้องใช้เวลาพักพื้นร่างกายของตนด้วย การแพทย์สมัยโบราณยังไม่ทันสมัยมากนัก นางอยากเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับตนเองให้มากที่สุด นางจึงให้ชางเจี้ยใช้วิธีการธรรมชาติในการคุมกำเนิด คือให้เขาหลั่งนอก นี่ลูกเพิ่งจะสามขวบไหนบอกว่ารอได้ไง
“รอให้ต้าเหนิงโตกว่านี้ก่อน”
“ตอนนี้ต้าเหนิงก็โตแล้ว” องครักษ์ชางเจี้ยหันไปทวงสัญญากับฮูหยินของตน จ้าวหยุ่นหลงมีสองแฝด ส่วนโอวหยางเจิ้งหัวก็กำลังจะมีลูกคนที่สอง เขาจะมีคนเดียวน้อยหน้าพวกนั้นได้อย่างไร ยอมไม่ได้
“เจ้าไม่มีน้ำยาเองหรือเปล่า”
“ฝ่าบาท” องครักษ์ชางครางเสียงอ่อยหันไปมองค้อนให้สหายพวงตำแหน่งนายเหนือหัว ก็เพราะตอนประชุม เขาถูกจ้าวหยุ่นหลงเย้าแย่ว่าไร้น้ำยา ถึงมีลูกสาวแค่คนเดียว ใช้ที่ไหนเล่า น้ำพิสูจของเขาไม่เคยเข้าไปในตัวฮูหยินแล้วจะมีลูกคนที่สองได้อย่างไรกัน ตอนนี้เขาถึงได้มานั่งขอให้ต้าเหนิงช่วยอยู่แบบนี้ หากบุตรสาวไปบอกฮูหยินของเขาว่าอยากมีน้อง นางต้องยอมใจอ่อนแน่นอน
โอวหยางเจิ้งหัวอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก สหายสองคนนี้ทั้วรักทั้งกัดกันมาตลอด โดยไม่สนใจฐานะของอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้นเขาก็นึกขอบคุณทั้งคู่เสมอที่ชักจูงเขาให้ก้าวมาสู้แสงสว่าง ไม่ต้องมีชีชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป หากนางมารไม่ตาย เขาคงต้องพาองค์หญิงเลี่ยงหลิงและจินเย่วหลบหนีเขาไปอยู่ในป่าเขา เช่นที่ตระกูลของกวนเสี่ยวถงเคยทำร่างสูงอุ้มบุตรชายเข้าไปอำลา ทั้งสาม ก่อนจะพาอุ้มออกจากสวนของวังรัชทายาท
เมื่อพลังปราณที่สี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข
แต่รอบกายของข้านั้นวุ่นวายทุกวัน
กวนเสี่ยวถงพรูลมหายใจออกมาหนักๆ มองสองแฝดที่วิ่งเข้าไปนั่งเล่นกับบุตรสาวขององครักษ์ชางเจี้ย ยิ่งสองแฝดโตก็ยิ่งซนหนัก ขนาดอ้ายฉิงที่เป็นพระธิดาก็ยังซุกซนไม่ต่างจากพระโอรส ผิดกับบุตรสาวของพี่เหมยตาฮวย ชอบนั่งเล่นกับสัตว์ตัวเล็กๆ ไม่ปีนป่ายลอยเคว้งคว้างบนอากาศแบบอ้ายฉิง
“เฮ้อ อยู่เพียงลำพังมาทั้งชีวตพอมีท่านเข้ามาชีวิตข้าก็ไม่เคยได้เงียบเหงาอีกเลย" กวนเสี่ยวถงบ่นเบาๆ
"อยากมีเพิ่มอีกคนไหมล่ะ" แม้เสียงนางจะเบาแค่ไหน เขาก็ได้ยิน จ้าวหยุ่นหลงใส่ใจพระชายาของตนเสมอ
"แต่ถ้ามีอีกคน ก็จะไม่ได้รับถ่ายทอดพลังปราณใดๆ จากทั้งท่านแล้วข้า จริงอยู่ที่ต่อให้ลูกของข้าจะไม่มีพลัง ข้านั้นก็รักไม่แตกต่างกัน แต่เขาล่ะจะเขาใจมันมากน้อยเพียงใด ที่ต้องมีชีวิตอยู่โดยการถูกเปรียบเทียบกับพี่ๆ เสมอ แค่สองแสบก็พอแล้ว" การมีชีวิตอยู่อย่างไร้ตัวตนนางเคยประสบมาแล้ว นางจะไม่มีวันให้ลูกๆ ของตนมีชีวิตเช่นนั้นเด็ดขาด
จ้าวหยุ่นหลงพยักหน้ารับ แม้ใจจะอยากมีลูกสักเจ็ดแปดคน แต่คงต้องยกเลิกความคิดนั้น กวนเสี่ยงถงว่าอย่างไรเขาก็ตามนั้นล่ะ
-----------จบ---
ซีรี่ย์ - องค์หญิงบรรณาการผู้ถูกลืมเลือน
- ดอกมู่ตานขี้เซา ผ่ามิติข้ามภพมาเพื่อนิทรา
-หนึ่งปรารถนา ปฐพีนี้ของมีเพียงเจ้า
ทั้งสามเรื่องอ่านแยกกันได้ค่ะ
เลือกสามีผิดคิดจนตัวตาย!เป็นเช่นไรรู้ก็เมื่อสายไปเสียแล้ว ลูกต้องตายจาก พ่อแม่พี่ชายพลัดพราก ด้วยหน้าที่ของเขาในฐานะเจ้าเมือง ช่วยชีวิตทุกคนไว้ได้ เว้นแต่นาง เว้นแต่ครอบครัวของนาง
โปรยปราย ผู้คนเกลียดชังข้า แต่กลับมิมีผู้ใดรู้เบื้องหลังว่าแท้จริงแล้วข้าต้องโหดร้ายเช่นนี้เป็นเพราะผู้ใด แทงมีดใส่อกคนรักของข้า สังหารตระกูลข้าจนสิ้นแม้แต่เด็กทารกก็มิเว้น ข้าต้องยืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า ไม่เป็นไร ข้าให้อภัย นั่นคงมีเพียงพระโพธิสัตว์เสียแล้วมิใช่ข้าคนนี้ คนที่พวกเจ้าหวาดกลัวยิ่งกว่าภูตผี
นางเคยเป็นดั่งดอกบัวขาว บริสุทธิ์ผุดผ่องมองแล้วสบายตา แต่เขาและน้องสาวต่างมารดาของนางกลับมาแต้มหมึกดำลงบนบัวขาวดอกนี้
นางเกิดมาขาพิการแต่หาได้ไร้ใจไม่ มีเพียงคนผู้นั้นที่ไร้หัวใจยิ่งกว่านาง เขามาหลอกให้นางหลงรักแล้วถอนหมั้นอย่างเลือดเย็น หลังนางตายจากไปแล้วยังใช้ความเห็นอกเห็นใจของพี่ชายนางเพื่อหาประโยชน์เข้าตัว โชคดีสวรรค์ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล กลับมาครานี้ ในเมื่อพวกมันรักกันมากนัก ก็เชิญรักกันไปได้เลย ชายชั่วเช่นนี้คิดจนตัวตายก็ไม่เอามาเป็นสามีเด็ดขาด!
ท่านช่างใจดำยิ่งนัก ท่านกับข้าเปรียบดั่งเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ ข้าเชื่อว่าสักวันท่านจะกลับมาเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับข้า แต่ใยท่านจึงพาสตรีอื่นกลับมา แล้วถอนหมั้นข้าอย่างไร้เยื่อใย
เพราะรักนางจึงยอมทุกอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับมอบความรักให้สตรีอื่น ในเมื่อเดินมาจนถึงสุดทางแล้วนางก็ไม่คิดจะยื้อไว้อีกต่อไป ไปเถิดข้าปล่อยมือท่านแล้ว ส่วนข้าจะเดินจากไปพร้อมกับบุตรในครรภ์
เซียวหลิ่นตาบอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกสาวคนรวยทุกคนต่างหลีกเลี่ยงเขา มีแต่สวี่โยวหรานยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล สามปีต่อมา เซียวหลิ่นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้รเขา็ยื่นข้อตกลงการหย่าเพื่อยุติการแต่งงานนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า "ฉันพลาดกับชิงชิงมานนานมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องรอนานกว่านี้!" สวี่โยวหรานลงนามในข้อตกลงการหย่าโดยไม่ลังเล ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอตลอด - หัวเราะเยาะว่าที่เธอแต่งเข้าตระกูลเซียวถือว่าเกาะผู้มีอิทธิพลเข้า จากนั้นก็มาหัวเราะเยาะเธอที่ถูกทอดทิ้ง เป็นหญิงที่ไร้ค่า แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่า เธอคือหมออัศจรรย์ที่รักษาดวงตาของเซียวหลิ่นให้หายดี เป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับมูลค่าหลักร้อยล้าน ผู้เป็นมือหนึ่งแห่งหุ้นที่ครองตลาดหุ้น และแม้แต่แฮกเกอร์ระดับแนวหน้าและลูกสาวแท้ๆ ของผู้มีอิทธิพล อดีตสามีมาขอร้องขอคืนดี ซีอีโอผู้เผด็จการก็โยนเซียวหลิ่นออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา "ดูดีๆ นี่ภรรยาของผม"
นายปฐพี พลพิพัฒ อายุยี่สิบแปดปี ชายหนุ่มรูปหล่อ ร่างสูงใหญ่กำยำผิวขาว เขาเกลียดผู้หญิงทุกคนเข้าไส้ ใครเข้าใกล้ต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาคือปีศาจในคราบเทพบุตรชัดๆ แต่ทำไมนะจีน่าจึงตกหลุมรักเขา นางสาวจีน่า ไนลา อายุยี่สิบสี่ปี ใบหน้าของเธอนั้นคมเหมือนกับสาวลูกครึ่ง เพราะมารดาของเธอเป็นคนอังกฤษ บิดาของเธอชื่อสรวิช ซึ่งความสวยของจีน่านั้นไม่เป็นรองใคร ดวงตาของเธอกลมโตจมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูปสีชมพูระเรื่อ ใครเข้าใกล้ต่างก็ชอบในความน่ารักสดใสของเธอ แต่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวได้เก็บเรื่องราวบางอย่างไว้ในใจตลอดเวลา เมื่อคนที่เธอตกหลุมรักเขากำลังจะแต่งงานด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่สำคัญเจ้าสาวของเขานั้น คือพี่สาวแท้ๆ ของเธอ ความรักของเขาและเธอจะลงเอยยังไงฝากด้วยนะคะ
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด