/0/10468/coverbig.jpg?v=285e98692a062868ce1f16eb37c9fbb0)
ข่าวแพร่กระจายมาปีที่ 16 แล้ว ว่าพวกเขากำลังตามหาทายาท บัดนี้พวกเขาหาเด็กคนนั้นพบแล้วหรือ
ข่าวแพร่กระจายมาปีที่ 16 แล้ว ว่าพวกเขากำลังตามหาทายาท บัดนี้พวกเขาหาเด็กคนนั้นพบแล้วหรือ
The wishes land เป็นหนังสือนิยายชื่อดังและขายดีที่สุดในประเทศอังกฤษ แต่ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง
เป็นเรื่อง ณ ดินเเดนเเห่งความปรารถนา ที่มีเหล่าพ่อมดและเเม่มดมากมายล้วนเเต่มีเวทมนตร์ที่เฉพาะของเเต่ละประเภทของพวกเขา และมีอาณาจักรหลายอาณาจักรที่อยู่ภายในดินเเดนเเห่งนี้ The wishes land
ในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงพ่อมดเเม่มด 7 ประเภท อันมี sea witch, green witch, cosmic witch, secular witch, fae witch และ nymphatic witch ซึ่งให้ข้อมูลหลายอย่างมาก ทั้งการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ในดินแดน และเล่าถึงการใช้เวทมนตร์ วันนี้เราจะมากล่าวคร่าว ๆ ถึงเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้
ประเภทแรก Sea witch พวกเขาจะศึกษาเวทมนตร์ที่เกี่ยวกับธาตุน้ำ ซึ่งก็ตามชื่อของพวกเขา ต้องเกี่ยวกับทะเล พวกเขาสามารถใช้ทุกอย่างในทะเลมาเป็นพลังได้ไม่ว่าจะเป็น เปลือกหอย น้ำทะเล ทราย หรือแม้กระทั่งสัตว์ทะเล
ต่อมา Green witch
Green witch เป็นกลุ่มเเม่มดที่บางครั้งจะถูกเรียกว่า garden witches หรือ forest witches โดยพวกเขาจะเชื่อมต่อกับพลังงานธรรมชาติมากที่สุด ศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพร พืชพรรณใกล้ตัว พวกเขาจะมีความรู้และความสามารถปลูก ดูแลต้นไม้ สมุนไพร
Cosmic witch หรือบางครั้งจะถูกเรียกว่า Star Witches เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาเฉพาะโหราศาสตร์เท่านั้น แต่ยังให้ความสนใจกับดาราศาสตร์อีกด้วย พวกเขาจะใช้ทั้งเทคโนโลยีเเละเวทมนตร์ ประกอบกันเพื่อศึกษาของดวงดาวต่าง ๆ ว่าสามารถส่งผลกับการฝึกเวทมนตร์ของพวกเขาได้มากน้อยเพียงใด
Secular witch
เป็นกลุ่มพ่อมดเเม่มดที่ถนัดการใช้เวทมนตร์ มีคาถา มีพิธีกรรม เป็นกลุ่มที่เชื่อในพลังงานทุกสิ่งที่มีชีวิตบนโลก ล้วนขับเคลื่อนด้วยพลังงาน
Fae witch
ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเเฟรี่ และพวกเขาจะทำงานร่วมกับเเฟรี่หลากหลายประเภท อีกทั้งยังมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติ และการทำงานร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รวมไปถึงการใช้เวลาดูเเลรักษาสวนหรือเดินทางท่องเที่ยวสวนดอกไม้อยู่บ่อยครั้งหากมีโอกาส
Space witch
กลุ่มนี้จะทำงานร่วมกับเอนทิตีที่ไม่ได้มีตัวตนหรือตำนานอยู่บนโลก มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวนอกโลก มีความสามารถในการศึกษาดวงดาวเช่นเดียวกันกับ Cosmic witch
Nymphatic witch
เเม่มดกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ศึกษาวัฒนธรรมกรีกโบราณ ส่วนใหญ่เเม่มดกลุ่มนี้จะศึกษาเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับเหล่านิมฟ์หรือนางไม้ พวกเขาอ่านประวัติศาสตร์ เรื่องเล่า รวมทั้งตำนานกรีกเยอะมาก ๆ
นี่ก็เป็นประเภทของแม่มดพ่อมดคร่าว ๆ ที่หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง แต่หลังจากหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ได้ไม่กี่ปีก็มีข่าวที่เเพร่กระจายออกมาว่า...ยังมีทายาทของเหล่าเเม่มดพ่อมดนั้น ปะปนอยู่กับมนุษย์ โดยไม่เเสดงถึงพลังอำนาจที่เเท้จริงของตนออกมา
หนังสือพิมพ์ที่มีข่าวนั้นก็ปรากฏขึ้นทุกปีจนกระทั่งวันนี้ก็เข้าปีที่ 16 เสียแล้ว
"จะว่าไปเด็กคนนั้นก็อายุเท่าข้า...หรือว่าจะเป็นเพื่อนของข้า...ผู้ใดกันนะ"
🌿✨
The Wishes Land
ดินเเดนเเห่งความปรารถนา
✨🌿
ขอขอบคุณข้อมูลของเเม่มดจาก เพจ Magic Books & Candle
เรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่เเต่งขึ้นเองทั้งหมดมีทั้งข้อมูลจริงและเท็จ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ทั้งนี้หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี่ค่ะ
ผู้แต่ง นานาห์ปุส
#ดินแดนแห่งความปรารถนา
#TheWishesLand
Twitter; @IsaMenutz
Section 1
พระราชวังแมคคาเลน
อาณาจักรที่มีแต่ความสงบสุข กษัตริย์ เหล่าเจ้าหญิง เจ้าชาย และราษฎรต่างมีความสุขกับการใช้ชีวิต และการทำตามความต้องการของตนเอง แมคคาเลนเป็นอาณาจักรที่มั่งคั่ง ประชากรล้นหลาม ทั้งยังเป็นเมืองที่มีไมตรีมากมายอีกด้วย
หญิงสาวหน้าตาสละสวย ใบหน้าราวกับพระเจ้าเป็นผู้สร้างเธอเองกับมือ นัยน์ตาเธอมีสีเขียวมรกตสื่อถึงราชวงศ์ของเธอ ทั้งสวมชุดเดรสสีขาวขลิบทองที่เต็มไปด้วยความหรูหรา สวมเครื่องประดับไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และมงกุฎประดับด้วยเพชรพลอยอย่างสมฐานะ เธอมีนามว่าลารีเดีย ธิดาคนเล็กแห่งอาณาจักรแมคคาเลน
แสงตะวันสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดออกกว้าง แต่ไม่ได้ทำให้อากาศนั้นร้อนจัด เพราะมีลมพัดผ่านอยู่เสมอ แมคคาเลนเป็นอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า หรือแม้แต่พื้นที่ทำการเกษตรก็ไม่น้อยหน้าอาณาจักรใด
ลารีเดียมองออกไปนอกหน้าต่าง สำรวจธรรมชาติพร้อมกับยกชาร้อนสีกุหลาบที่สาวใช้ชงไว้ให้ขึ้นมาดื่มให้เข้ากับบรรยากาศยามเช้าที่สดใส และเงียบสงบ ทำเลย์ห้องของเจ้าหญิงลารีเดียนั้นมิค่อยมีผู้คนเดินผ่าน ส่วนทหารที่เดินตรวจตรานั้นก็ไม่โวกเหวกโวยวายให้รบกวนเวลาพักของเธอ จึงทำให้พระราชวังมรกตซึ่งนั้นก็คือที่พักของเธอเงียบสงบเอามาก ๆ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นกับเสียงสาวใช้ที่กล่าวตามมาว่าขออนุญาตเข้าไปในห้องของเธอ ลารีเดียตอบรับอย่างเป็นมิตร แล้วหันหน้าไปทางประตูรอคนที่อยู่หน้าประตูเข้ามา
"องค์หญิงเพคะ ข่าวนี้มาอีกเเล้วเพคะ" หญิงสาวใส่ชุดอังกฤษโบราณเข้ามาหาเธอพร้อมกับหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ เธอทำหน้าตื่นตระหนกราวกับว่าเห็นข่าวนี้เป็นครั้งแรก
เมื่อ ๑๖ ปีก่อน ตรงกับปีที่ลารีเดียลืมตาขึ้นมาดูโลกอย่างพอดิบพอดี เป็นปีที่เริ่มมีข่าวเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก โลกเวทมนตร์ ดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้ใช้เวทมนตร์ เหล่าพ่อมดแม่มด สัตว์เวทมนตร์ รวมไปถึงปีศาจ หากถามว่าเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์มากเพียงใด ก็ไม่มากนักหรอก เพราะดินแดนเวทมนตร์นั้นไม่ระรานโลกมนุษย์มานานเป็นสหัสวรรษแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้แหละที่พวกเขากลับมา หนังสือพิมพ์ที่มีตัวอักษรตามหาทายาทแม่มดแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ทุกที่ป่าวประกาศว่าพวกเขากำลังตามหาคน ๆ นั้นอยู่ เพียงแต่ไม่มีใครรับรู้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครกัน พวกเขาระบุแค่ว่าคนผู้นั้นคือเด็กผู้หญิง วัยใกล้เคียงกันกับเด็กสาวที่ตอนนี้อายุสิบหกปี นั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าหญิงลารีเดียเริ่มสนใจว่า เด็กคนนั้นจะเป็นใคร และใจยังกังวลว่าจะเป็นเหล่าชนชั้นสูงที่มาเล่นกับเธอในวังบ่อย ๆ หรือไม่
ลารีเดียยื่นมือรับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นแล้วเอ่ยถามสาวใช้คนสนิท "ทายาทเเม่มดอะไรนั่นน่ะเหรอ"
"เพคะ เห็นว่าครั้งนี้ข้อความต่างจากเดิม" นางตอบ ลารีเดียกวาดสายตาอ่านข้อความในหนังสือพิมพ์อย่างตั้งใจ เขาเขียนเหมือนกับว่าพวกเขาเจอเด็กคนนั้นเเล้ว อย่างนั้นเเหละ "เป็นอะไรไปเพคะองค์หญิง มีอะไรผิดแปลกไปหรือเพคะ" เสียงเอ่ยถามซ้ำเมื่อเห็นเธอเหม่อลอยเหมือนมีอะไรให้ต้องคิด "ดูนี่สิ" ลารีเดียชี้ข้อความนั้นให้พี่เลี้ยงได้อ่าน
“ดูเหมือนว่าชะตาฟ้าลิขิตให้เราได้พบกันแล้วสิ เจอกันแม่เจ้าหญิงน้อย”
"เจ้าไปสืบมาหน่อย ว่าใครกันที่หายตัวไป" เธอเอ่ยปากเป็นคำสั่งออกไปพร้อมกับทำสีหน้าเป็นกังวล
"เพคะองค์หญิง" สาวใช้รับปากเธอก่อนจะถอยออกไป
ใครกันนะ...
ผ่านวันนี้ไปก็จะเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของเจ้าหญิงลารีเดีย อายุของเธอก็จะครบ 16 ปี และจะมีการจัดงานนี้ขึ้นภายในพระราชวังของกษัตริย์แมคคาเลนผู้เป็นพ่อของเธอ แต่มิได้เรียกผู้ใดมาเข้าร่วมเลยแม้แต่คนเดียว จะมีเพียงคนที่อยู่ภายในพระราชวังเท่านั้น
ทว่าเจ้าตัวดันหายไปแล้วน่ะสิ
"ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงหายไปเพคะ!" สาวใช้คนสนิทของลารีเดียวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในท้องพระโรง ทำให้ลาเกอร์ผู้เป็นพี่ชายตกใจเป็นอย่างมาก เขาลุกพรวดแล้วร้องออกมา "เจ้าว่าอย่างไรนะ!"
"เราถึงไม่เรียกคนมาร่วมงานอย่างไรล่ะ" กษัตริย์กล่าวขึ้นเบา ๆ
"เสด็จพ่อ...ท่านหมายความว่าอย่างไรพะยะค่ะ" เขาหันไปมองหน้าพ่อของเขาด้วยสายตาที่สิ้นหวัง
"เขาพาตัวนางไปแล้ว"
"ไม่นะ...ลารีเดีย..." หัวอกผู้เป็นพี่ชาย ใจแทบสลาย ขาของเขาแทบไม่มีแรงยืนอยู่ด้วยซ้ำ "ไม่จริงใช่ไหมพะยะค่ะเสด็จพ่อ ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่" เขากล่าวด้วยความโวยวาย
"อย่าเสียใจไปเลยลาเกอร์...พ่อรู้ว่าเจ้ารักน้องมาก" สิ้นเสียงของคนผู้เป็นพ่อก็ไม่มีผู้ใดตอบรับอีก เขาจึงเล่าเรื่องราวก่อนที่ลารีเดียจะเกิด ว่าเธอคือลูกของภรรยาคนแรกของกษัตริย์แมคคาเลน แต่กษัตริย์แมคคาเลนซึ่งมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ก่อนหน้านั่นคือผู้เป็นแม่ของลาเกอร์ แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดใดเพิ่มเติม เพียงกล่าวว่า "พ่อทำสัญญากับพ่อมดผู้ดูแลดินแดนว่าจะคืนลูกสาวเมื่ออายุครบสิบหกปี เพราะกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ หากคืนคำ.. อาณาจักรเราคงต้องวิบัติเพราะโดนพ่อมดแม่มดระรานเป็นแน่"
พวกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง พวกเขามองฉันและเห็นฉันเป็นเด็กผู้ชาย เป็นเจ้าชาย คนนหึ่ง พวกเขาซื้อมนุษย์อย่างฉันเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ และเมื่อพวกเขาบุกเข้ามาในอาณาจักรของเราเพื่อซื้อพี่สาวของฉัน เพื่อปกป้องเธอ ฉันหมดหนทาง จึงต้องเข้าไปขอร้องให้พวกเขาพาฉันไปด้วย แผนของฉันคือหาโอกาส จะพาพี่สาวหนีไป แต่ฉันไม่คาดคิดว่าคุกของเราจะเป็นสถานที่ที่มีการป้องกันมากที่สุดในอาณาจักรของพวกเขา แต่เดิมฉันเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นคนที่พวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาไม่เคยคิดจะซื้อ เลย แต่แล้ว ราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ความปรานี บุคคลที่มีอำนาจที่สุดในดินแดนป่าเถื่อนของพวกเขากลับสนใจใน "เจ้าชายน้อยผู้น่ารัก" เราจะเอาชีวิตรอดในอาณาจักรที่อันตรายนี้ได้อย่างไร และเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่เป็นมิตรกับเรายังไง และคนที่มีความลับอย่างฉันจะกลายเป็นทาสแห่งความต้องการทางเพศได้อย่างไร . หมายเหตุของผู้เขียน นี่คือนิยายรักแนวดาร์ก เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ เรตติ้งสูง 18+ เตรียมพบกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์และเข้มข้นได้เลย หากคุณเป็นนักอ่านตัวยงของแนวนี้ที่กำลังมองหาอะไรที่แตกต่าง พร้อมที่จะอ่านแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวโดยไม่รู้ว่าจะเจออะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ก็อยากรู้เพิ่มเติมอยู่ดีล่ะก็ รีบอ่านเลย! . จากผู้เขียนหนังสือขายดีระดับนานาชาติเรื่อง "ทาสผู้เกลียดชังของราชาอัลฟ่า"
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
หลังจากแต่งงานมาสามปี ฮั่วเป่ยอวี๋ไม่เพียงแต่เย็นชากับเสิ่นเจียงหนานเท่านั้น แต่ยังคบชู้ ทำให้เสิ่นเจียงหนานผิดหวังมาก เขาก็แค่ชายเจ้าชู้นี่เอง หลังจากหย่ากันอย่างเด็ดขาด เธอก็มุ่งหน้าไปทำงาน ในฐานะนักออกแบบชั้นนำ แพทย์ผู้อัศจรรย์ และแฮ็กเกอร์เก่งๆ เธอเชี่ยวชาญหลายๆ ด้านและกลายเป็นเจ้าหญิงที่ทุกคนชื่นชมและเป็นที่ต้องการ ในที่สุด ฮั่วเป่ยอวี๋ก็ตระหนักถึงสิ่งที่เขาสูญเสียไปและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะใจเธอ แต่เขากลับเห็นเธอจัดงานแต่งงานแห่งศตวรรษร่วมกับชายอีกคน เมื่องานแต่งงานของคนสองคนถูกถ่ายทอดสดบนป้ายโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลก-- เผ๋ยเหยียนหลี่สวมแหวนให้เธอ และประกาศให้โลกได้รับรู้อย่างท่วมท้น "เสิ่นเจียงหนานเป็นภรรยาของผมและเธอเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผม ใครกล้ามาแตะต้อง ต้องเจดีแน่!"
หนูน้อย"อ้ายหลาน"เกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษไม่เหมือนใคร แม้นางจะเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่นางก็มีพลังมหาศาลสามารถยกกระสอบข้าวด้วยมือเดียว ก้อนหินสิบคนโอบนางก็สามารถยกทุ่มได้อย่างง่ายดาย และจมูกนางไวต่อกลิ่นยิ่งนักแม้สิ่งนั้นจะอยู่ไกลเพียงใดโดยเฉพาะอาหาร นางมีจมูกที่พิเศษสามารถแยกแยะสิ่งมีพิษและไม่มีพิษได้
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
นายพายุ ศิระภาคิณ อายุสามสิบปี นักธุรกิจหนุ่มประธานบริษัทส่งออกผ้าไทย วีรกรรมที่เขาทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กำลังจะย้อนกลับมา เมื่อนางสาวแพรไหม โภสิกุล ดีไซเนอร์สาวอายุยี่สิบเก้าปี ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เธอนั้นหายออกไปจากมหาวิทยาลัย กว่าสิบปี โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ท่านประธานหนุ่มเริ่มอยากรู้ชีวิตของเธอ เมื่อครั้งหนึ่งเรือนร่างอันบอบบางอรชรเคยหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขามาแล้ว ถ้าหากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกหากเธอนั้นยังโสดแพรไหมจะยังต้องการเขาอยู่หรือไม่ ในเมื่อเธอคิดว่าพายุนั้นเป็นแค่ผู้ชายที่พรากความบริสุทธิ์ไปจากเธอเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เธอก็ยังคงมองเขาในด้านลบอยู่ดี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม "แม่ของหนูชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน บอกฉันได้ไหม" พายุถามพร้อมกับจ้องลงไปที่ดวงตาแป๋วของเด็กหญิงตรงหน้า เมื่อเขามั่นใจว่าสายตาจะไม่โกหก "แม่ของหนูชื่อแพรไหม!" เด็กหญิงพูดออกมา พร้อมกับจ้องสายตาคมของผู้เป็นบิดาอย่างไม่กะพริบตา เพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก “ฮ่ะ!” พายุอุทานออกมาเสียงดัง ขณะที่หัวใจของเขานั้นเต้นแรง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต "ถ้าคุณไม่เชื่อ พาหนูไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะคะ" เด็กหญิงพูดออกมาพร้อมกับมีใบหน้าที่เศร้าหม่น เมื่อเธอคิดว่าบิดาคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอนั้นพูดออกมา "ไม่จำเป็น!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง เพื่อยืนกรานที่จะตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้คนฟังนั้นหวาดกลัว เพราะใยไหมคิดว่าบิดานั้นไม่เชื่อใจเธอ "หนูขอโทษที่มารบกวน หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ใยไหมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ เมื่อเธอได้สัญญากับผู้เป็นมารดาเอาไว้ หากถูกปฏิเสธแล้วไซร้ จะขอกลับไปไม่กลับมาหาชายตรงหน้าอีกเลยตราบชั่วชีวิต "แล้วหนูจะไปไหน นั่งลงก่อนสิ" พายุพูดพร้อมกับจับร่างเล็กของลูกสาวนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง "ที่บอกว่าไม่จำเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพ่อเชื่อว่าหนูเป็นลูกของพ่อโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใยไหมไม่รอช้าโผเข้าไปกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ "ไม่ร้องนะครับคนเก่งของพ่อ" พายุพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มใสของลูกสาวออกจนสิ้น ในขณะที่ตัวของเขาเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน "หนูขอเรียกพ่อว่าคุณป๋านะคะ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดออกมาอย่างรื่นหู คุณป๋าที่เด็กหญิงพูดนั้น ทำให้พายุอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ทำไมถึงต้องเรียกพ่อว่าคุณป๋าด้วยละ หืม" พายุเอ่ยถามลูกสาวออกมา ขณะที่เขายังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยความรักความผูกพันของสายใยระหว่างพ่อลูก ที่มันพันผูกจนมาสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ "มาดาม ไม่ชอบให้หนูมีพ่อ หนูก็จะมีคุณป๋าแทนยังไงล่ะคะ" คำตอบของลูกสาวทำให้พายุยิ้มไม่หุบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอช่างเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ผิดกับแพรไหมมารดาของเธอ ที่ชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ตลอดเวลา "ทำไมถึงเรียกแม่ว่ามาดาม ตอนนี้แม่แต่งงานไปแล้วหรือยัง" เวลานี้พายุลุ้นคำตอบจากลูกสาว หรือแพรไหมจะแต่งงานกับฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว ใยไหมถึงได้เรียกเธอว่ามาดาม "แม่ยังไม่มีใคร มีแค่ลุงดนัยที่ชอบมาข้องแวะ แต่หนูไม่ชอบเขาเลย เพราะเขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาดามอยู่เรื่อย" คำตอบของลูกสาวช่างอิ่มเอมใจ เมื่อแพรไหมไม่มีใครเขาก็พร้อมจะสานสัมพันธ์ แต่งานนี้คงจะยากหากผู้ชายคนนั้นมาข้องแวะ แต่เขามีลูกสาวที่ยืนเคียงข้างแล้วจะกลัวอะไร "ถ้าพ่ออยากจะจีบแม่ต้องทำยังไง" "โอ้! เจ๋งเป้งมากค่ะคุณป๋า เดี๋ยวหนูจะช่วยเอง" ใยไหมพูดออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแสนนาน อยากให้บิดามารดาได้ลงเอยกันสักที "ลูกรับปากพ่อแล้วน๊า... " พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก "แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อนค่ะ คุณป๋า" ใยไหม ผละออกจากอกกว้างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับหยิบคุกกี้ตรงหน้าเข้าปาก "หิวหรือยัง ไปทานข้าวก่อนดีไหม" พายุเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นลูกสาวนั้นหยิบคุกกี้เข้าปากคำโต "เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ค่ะ แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน เรื่องที่หนูเป็นลูกสาวของคุณป๋า ห้ามให้ใครรู้ ทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเราได้ไหมคะ" พายุทำหน้าสงสัยกลับไปให้เด็กหญิง เธอกำลังคิดจะทำอะไร ใครหลายคนคงดีใจหากได้เป็นลูกสาวของท่านประธาน "ทำไมเป็นลูกสาวพ่อมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ลูกถึงไม่อยากให้ใครรู้" พายุเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความน้อยใจ เมื่อลูกสาวไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นบิดาของเธอ "เป็นลูกสาวของป๋าดีที่สุดแล้ว แต่หนูไม่อยากให้ใครมองมาดามในทางไม่ดี ทุกคนต้องรู้แน่ สาเหตุที่มาดามต้องออกจากมหา'ลัยกลางคัน" คำบอกเล่าของใยไหมเป็นเหมือนดังคมหอก ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของพายุ เด็กหญิงตรงหน้าช่างมีความคิดแบบผู้ใหญ่ เธอถูกเลี้ยงมาแบบไหนทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้ แพรไหมคงดูแลอบรมลูกสาวมาอย่างดี ต่างจากเขาผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยได้เหลียวแล "พ่อขอโทษนะ ที่ไม่เคยได้ดูแลหนูเลย ต่อจากนี้ไปพ่อจะไม่ทิ้งหนูกับแม่ให้อยู่กันตามลำพังอีกแล้ว" คำพูดของผู้เป็นบิดากำลังทำให้เด็กหญิงหัวใจพองโต เธอดีใจที่ผู้เป็นพายุไม่ปฏิเสธ แถมเขายังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับมาดามของเธออีกครั้ง คงไม่มีอะไรทำให้เด็กหญิงมีความสุขเท่าสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต "ก่อนอื่นคุณป๋า ต้องจีบมาดามให้ติดก่อน หนูบอกเลยว่างานหิน มาดามดื้อจะตาย ขนาดลุงดนัยตามจีบหลายปี มาดามยังปฏิเสธทุกครั้ง แต่ลุงดนัยก็ตื้ออยู่ได้" ใยไหมพูดพร้อมกับทำหน้างอ ออกมาได้อย่างน่ารัก "ป๋ามีลูกสาวคอยช่วยจะกลัวอะไร ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวป๋าจะไปส่งที่บ้าน" พายุพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง เขาคงไม่ต้องใช้นักสืบ ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้หญิงสาวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาเอง แถมอยู่ดี ๆ ก็ได้ลูกสาวมาหนึ่งคน ที่น่ารักซะจนทำให้เขานั้นอยากไว้หนวด
© 2018-now MeghaBook
บนสุด